วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ยางระเบิดขณะขับขี่


ขณะขับขี่แล้วเกิดยางระเบิด แน่นอนที่สุดย่อมเกิดอาการตกใจ และสิ่งที่ตามมาอาจเกิดอันตรายได้ และในฐานะของผู้ขับขี่ก็ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น แต่ในเมื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ฉุกเฉินขณะยางระเบิดไม่ได้ ในฐานะของผู้ขับขี่ จะทำอย่างไรดี? และนี่คือคำถามที่อยู่ในใจของใครหลายๆ คน

การที่ยางระเบิดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของท่าน, ผู้โดยสารและผู้ร่วมใช้เส้นทาง ในฐานะผู้ขับขี่ ก่อนอื่นต้องตั้งสติให้ดี สมาธิให้ดี แล้วพยายามทำตามวิธีที่จะกล่าวถึงนี้

1. ผู้ขับขี่พยายามตั้งสมาธิของตนเองให้เป็นปกติ ห้าม ! ทำการเหยียบเบรกโดยเด็ดขาด เพราะการเหยียบเบรกจะเกิดอันตรายอย่างมาก
2. จับพวงมาลัยให้มั่นคง และแน่นขึ้น พร้อมกับบังคับพวงมาลัยเพื่อให้รถยนต์ชิดขอบทาง ให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย
3. ลดความเร็วของรถยนต์ลงเรื่อยๆ พร้อมกับเปิดไฟเลี้ยว (ในกรณีขอทาง) หรือเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน
4. ให้ทำการติดต่อขอความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานช่วยเหลือต่างๆ ในกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้

ส่วนกรณี สามารถแก้ไข (เปลี่ยนยาง) ได้ด้วยตนเอง ให้นำสัญลักษณ์ขอทาง หรือ นำวัสดุที่พอจะเป็นที่สังเกตได้ไปวางไว้ก่อนถึงจุดจอดรถประมาณ 10 เมตร (ถ้าเป็นไปได้) อันนี้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง และผู้ใช้เส้นทางท่านอื่นด้วย

การป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ ยางระเบิดขณะขับขี่ มีวิธีดังต่อไปนี้

•ตรวจสภาพของยางอย่างสม่ำเสมอ เช่น รอยฉีกขาด, วัสดุที่ตำยาง, ความสึกหรอ
•ตรวจสอบความดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ (ตามค่ากำหนดจากคู่มือการใช้รถ)
•ทำความสะอาดยางอย่างสม่ำเสมอ (ถ้าเป็นไปได้ควรทำความสะอาดทั่วทั้งเส้น)
•บำรุงรักษาตามระยะทางที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้รถกำหนด เช่น ตรวจสอบช่วงล่าง, การสลับยาง ถ่วงยาง ทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร
•ขึ้นชื่อว่า “ยาง” ย่อมมีอายุการใช้งาน ดังนั้น ให้ทำการเปลี่ยนยางตามที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้รถหรือ บริษัท ผู้ผลิตยางกำหนด (ระยะเวลา 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร) แล้วแต่ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน
เพียงเท่านั้น โอกาสที่จะมีการเกิดอุบัติเหตุจากยางระเบิด ก็เป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ (0%) อย่างแน่นอน ความปลอดภัยของท่าน คือความตั้งใจของเรา
อนึ่ง...สำหรับเหตุการณ์ตามที่กล่าวมา “รู้ไว้ ใช่ว่า” เพราะเมื่อมีการเกิดขึ้นแล้ว จะเกิดอันตรายและความเสียหายตามมาในที่สุด ดังนั้น ป้องกันไว้เป็นดีที่สุดครับ

ยางกับการจอด


เป็นไปไม่ได้ที่การจอดรถทุกครั้ง จะเป็นพื้นที่เรียบตลอด ตามถนนหนทางหรือแม้แต่ตรอก ซอยต่างๆ จะมีขอบของถนน, ช่องระบายน้ำ, ลูกระนาดและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ตัวมันหรือลักษณะของมันจะไม่เรียบตรง พร้อมกับมีความแข็ง ดังนั้น เมื่อรถจอดทับแล้ว จะไม่มีการเสียรูปแต่อย่างใด แต่กลับว่าตัวรถยนต์ชำรุดแทนนั่นก็คือ “ยางล้อรถยนต์”

การจอดรถในแต่ละครั้งมีนานบ้าง เร็วบ้าง แตกต่างกัน หากมีการจอดที่นานมากๆ ควรหาพื้นที่เรียบ เพื่อที่จะไม่ทำให้ยางชำรุด (เสียรูป) หากลองสังเกตให้ดี จะพบว่า เมื่อจอดรถตรงร่องของท่อระบายน้ำ สังเกตตรงแก้มยาง จะเห็นว่ายางแบน ที่เป็นอย่างนี้ เพราะหน้าสัมผัสยางกับพื้นตรงนั้น ไม่สมดุล ทำให้มองเห็นอย่างนั้น ถ้าเป็นการจอดนานบวกกับลมยางที่อ่อน ทำให้ยางชำรุดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ไหนจะน้ำหนักของรถยนต์ทั้งหมดกดลงบนยางอีก ยิ่งเพิ่มภาระให้กับยาง

นอกจากยางจะเสียรูปแล้ว บางครั้ง อาจทำให้ยางรั่วได้ ในการนี้ขอกล่าวในกรณีจอดรถบริเวณท่อระบายน้ำเท่านั้น สิ่งที่มีอาจมองข้ามได้ ก็คือสิ่งต่างๆที่อยู่บนถนนกระเด็นมา, ปลิวมา หรือ ไหลมากับน้ำ อะไรทำนองนี้ มาติดอยู่ที่ยาง ไม่ว่าจะเป็น เหล็ก, ตะปู, ลวด, ขวด, แก้ว และอื่นๆ ล้วนแล้วแต่สามารถตำทะลุยางได้ เมื่อเราต้องการใช้รถ แล้วขยับรถยนต์ออกจากจุดจอด ก็บดทับสิ่งเหล่านั้นได้ เมื่อใช้รถยนต์ระยะเวลาหนึ่ง ลมยางล้อรถยนต์จะน้อยลงเรื่อยๆ จนแบน พฤติกรรมของผู้ขับขี่ส่วนมาก ไม่มีใครก้มลงดูบริเวณยางอยู่แล้ว ดังนั้น ในการเลือกที่จอด ควรพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ก็ดีต่อยางยิ่งขึ้น

อีกประการหนึ่ง ถึงแม้ว่าจอดรถบนพื้นที่เรียบ แต่หากจอดเป็นระยะเวลาที่นานมากๆควรให้ล้อรถยนต์เปลี่ยนตำแหน่งหน้าสัมผัสยางกับถนนบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นกับยาง ถึงแม้จะเป็นยางใหม่ก็ตามก็อาจเกิดขึ้นได้ การรับประกันยางมีอยู่ก็จริง แต่ส่วนใหญ่แล้ว เคลมได้น้อยมากหรือยากมาก และใช้เวลาในการตรวจสอบก็ใช้เวลาหลายวัน ซึ่งข้อจำกัดของการรับประกัน (ยาง) มีอยู่หลายข้อและ จะไม่อยู่ ภายใต้เงื่อนไขการรับประกัน

•ยางได้รับความเสียหายจากการใช้งานบนท้องถนนตามปกติ เช่น บาด, ตำทะลุ หรือ บวม เนื่องจากการกระแทก
•ยางที่ถอด-ประกอบใส่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ระหว่างยางกับกระทะล้อ
•ยางที่ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากความผิดปกติของช่วงล่าง ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วงล่างและศูนย์ล้อ
•ยางที่ติดตั้งหรือใช้กับวาล์ว กระทะล้อ หรือ ล้อไม่เหมาะสมตามประเภทยาง
•รถที่มีการบรรทุกน้ำหนัก หรือ ใช้ความเร็วเกินพิกัดที่ระบุไว้ตรงแก้มยาง หรือ ตามคำแนะนำ สำหรับรถประเภทนั้นๆ
•ยางเก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว และนำมาซื้อขายใหม่
•ยางที่เก็บรักษาไม่ถูกวิธี
•ยางที่ไม่ได้ใช้งานตามคำแนะนำทางเทคนิคของบริษัทผู้ผลิต
•ยางที่เสียหายจากอุบัติเหตุ, ไฟไหม้, สารเคมี หรือ มีการปรับแต่งช่วงล่างของรถ
•ยางที่ไม่ได้ซื้อมาจากตัวแทนจำหน่ายยางโดยตรง
•ยางที่เสียหาย เนื่องจากสภาพอากาศและผลกระทบจากบรรยากาศ
เห็นไหมครับว่า ข้อกำหนดดังกล่าวโดยรวมแล้ว ท่านเจ้าของรถจะต้องดูแลเอาใจใส่ยางพอสมควร ดังที่กล่าวมาตั้งแต่ตอนต้นว่า แม้กระทั่งการจอดรถก็ต้องพิจารณา เพราะอยู่ภายใต้ ข้อกำหนดของการรับประกันนั่นเอง หากเป็นรถใหม่ที่ออกจากตัวแทนจำหน่าย แล้วมีปัญหาเกี่ยวกับยาง ทางศูนย์บริการของตัวแทนจำหน่ายของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆก็ต้องเข้ามาดูแลให้ท่านอยู่แล้ว แต่การพิจารณาการอนุมัติเคลมยางว่าได้หรือไม่ได้นั้นขึ้นอยู่กับบริษัท ผู้ผลิตยางนั้นๆครับ ท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านใช้รถยนต์อย่างมีความสุขมากๆ ครับ

เปลี่ยนหรือไม่ ใคร่คิดดู 2


เรียนผู้อ่านทุกท่าน บทความเรื่อง เปลี่ยนหรือไม่ ใคร่คิดดู 2 ก่อนจะเกิดขึ้นนั้น ได้มีบทความ เปลี่ยนหรือไม่ ใคร่คิดดู มาก่อนแล้ว และนั่นก็เป็นครั้งแรก ซึ่งครั้งนั้นได้กล่าวถึงชิ้นส่วนอยู่ 3 อย่าง ได้แก่ แบตเตอรี่, ยางแท่นเครื่อง, แท่นเกียร์ และยางล้อรถยนต์ เมื่อผู้อ่านได้อ่านแล้วมีความเข้าใจในตัวชิ้นส่วนมากยิ่งขึ้น ว่าทำไมต้องเปลี่ยน การแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่บริการก็มีความเข้าใจที่ตรงกันอีกด้วย ชิ้นส่วนทุกชิ้นส่วนย่อมมีอายุการใช้งานอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ณ โอกาสนี้ ก็มีด้วยกัน 3 อย่าง ได้แก่ น้ำมันเบรก, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ และน้ำมันเกียร์ ขอเริ่มเลยละกันนะครับ

น้ำมันเบรก
เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญมากต่อรถยนต์ ถ้าน้ำมันเบรกไม่ดี จะส่งผลต่อประสิทธิภาพต่อการเบรก และชิ้นส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องกับระบบเบรก นอกจากนั้น อาจนำพาไปสู่เรื่องของอุบัติเหตุได้ ดังนั้น น้ำมันเบรกจะต้องมีการเปลี่ยนถ่ายทุกๆ 40,000 กิโลเมตร ตามระยะทางที่กำหนดครับ

ไม่เปลี่ยน - การส่งถ่ายแรงเบรกด้อยลง
เปลี่ยน - การไหลของน้ำมันเบรกได้เต็มที่ และรวดเร็ว
ไม่เปลี่ยน - การคืนตัวของผ้าเบรกช้า
เปลี่ยน - ผ้าเบรกคืนตัวได้เร็วหลังจากถอนเท้าออกจากคันเหยียบเบรก
ไม่เปลี่ยน - แม่ปั้มเบรก, ลูกยางเบรก ชำรุด(รั่ว) เร็วกว่าที่ควรเป็น
เปลี่ยน - ชิ้นส่วนเสียหายช้า ประหยัดเงินในการซ่อม
ไม่เปลี่ยน - กระบอกเบรก เกิดเป็นตามด ไม่สามารถซ่อมได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งลูก (ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น)
เปลี่ยน - กระบอกเบรก ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์
ไม่เปลี่ยน - ใช้แรงในการเบรกมากกว่าที่ควรจะเป็น
เปลี่ยน - แรงที่ใช้ในการเหยียบเบรกเหมือนปกติ
ไม่เปลี่ยน - เกิดฟองอากาศในระบบเบรกง่ายขึ้น อาการเบรกจมหายง่ายขึ้น
เปลี่ยน - โอกาสที่เบรกจมหายในระบบจะไม่เกิดขึ้น

น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
จะต้องมีการเปลี่ยนเหมือนน้ำมันทั่วๆไป บางท่านอาจมองข้ามกันไปว่า ไม่สำคัญเท่าไหร่ อะไรทำนองนี้ ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะว่า หากไม่เปลี่ยนตามระยะทางที่กำหนด จะนำพาหรือเป็นเหตุให้ชิ้นส่วนอื่นเสียหายมากขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้ประสิทธิภาพในการบังคับเลี้ยวด้อยลง การเปลี่ยนถ่ายก็ทุกๆ 40,000 กิโลเมตร ดังนั้น เรามาลองทำความเข้าใจกันครับ

ไม่เปลี่ยน - ชิ้นส่วนต่างๆ จะมีการชำรุดสึกหรอ ง่ายขึ้น
เปลี่ยน - อายุการใช้งานของชี้ยาวนาน
ไม่เปลี่ยน - หากมีการชำรุด แล้วมีการซ่อม ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ใช้เวลาก็มาก
เปลี่ยน - ประหยัดเงิน และ เวลาได้มาก
ไม่เปลี่ยน - เกิดเสียงดังเวลาปั้มเพาเวอร์ทำงาน
เปลี่ยน - ไม่เกิดเสียงดังแต่อย่างใด
ไม่เปลี่ยน - การส่งถ่ายแรงในการบังคับเลี้ยว ได้ไม่เต็มที่
เปลี่ยน - การบังคับเลี้ยวเป็นไปอย่างสมบูรณ์
ไม่เปลี่ยน - ปั้มเพาเวอร์มีการทำงานหนักมากขึ้น การสึกหรอย่อมสูงขั้น
เปลี่ยน - การทำงานของปั้มเพาเวอร์ทำงานเป็นปกติ การใช้งานนาน
ไม่เปลี่ยน - หากมีการรั่วแล้วเลอะเทอะบนถนน ผู้ร่วมใช้เส้นทางเกิดอุบัติเหตุได้
เปลี่ยน - ปัญหาของอุบัติเหตุที่เกิดจากรถยนต์ของเรา จะไม่เกิดขึ้น

น้ำมันเกียร์ (ธรรมดา, อัตโนมัติ)
เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญชิ้นหนึ่ง จำเป็นจะต้องมีการบำรุงรักษาหรือเปลี่ยนถ่ายตามระยะทางที่กำหนด ซึ่งแต่ละรุ่นแต่ละแบบจะแตกต่างกันไป อย่างไรแล้วท่านผู้อ่านศึกษาได้จากคู่มือการใช้รถยนต์ของท่าน แต่ถ้าไม่มีคู่มือการใช้รถก็สามารถสอบถามไปยังแผนกบริการ รถยนต์รุ่นนั้นๆได้อีกทางหนึ่ง น้ำมันเกียร์เหมือนกับน้ำมันอื่นๆ ดังนั้น หากไม่ปฏิบัติอาจส่งผลถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้

ไม่เปลี่ยน - ชิ้นส่วนของเกียร์มีการสึกหรอสูงขึ้นกว่าปกติ
เปลี่ยน - ชิ้นส่วนของเกียร์มีการใช้งานยาวนาน
ไม่เปลี่ยน - การรั่วของน้ำมันเกียร์ผ่านทางชิ้นส่วนต่างๆง่ายขึ้น
เปลี่ยน - การรั่วของน้ำมันเกียร์ผ่านซีลช้าขึ้น
ไม่เปลี่ยน - การระบายความร้อนของตัวเกียร์ไม่ดี (กว่าที่ควรจะเป็น)
เปลี่ยน - การถ่ายเทความร้อนของตัวเกียร์ดีเป็นปกติ
ไม่เปลี่ยน - การไหลลื่นของเกียร์ด้อยลง
เปลี่ยน - การไหลลื่นของเกียร์เป็นไปอย่างสมบูรณ์
ไม่เปลี่ยน - ในการเลื่อนเข้าเกียร์ยาก
เปลี่ยน - การเลื่อนเข้าเกียร์นุ่มนวล
ไม่เปลี่ยน - กินเชื้อเพลิงมากขึ้น สำหรับเกียร์อัตโนมัติ
เปลี่ยน - อัตราเร่งดี การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงน้อยลง
ไม่เปลี่ยน - หากมีการซ่อมชุดเกียร์ จะมีค่าใช้จ่ายและเวลาที่มาก
เปลี่ยน - การที่จะมีการซ่อมเกียร์ยากมาก ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก

เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับความเข้าใจในครั้งนี้ หากผู้ขับขี่พบเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งก็แสดงว่ามีการขัดข้องเกิดขึ้น ก็ให้รีบตรวจสอบโดยด่วน คงไม่มีใครไม่รักรถนะครับ ข้อกำหนดต่างๆที่อยู่ในคู่มือการใช้รถนั้น ถือว่าเป็นมาตรฐานในการดำเนินการปฏิบัติครับ หลายท่านอาจจะไม่นำรถเข้าศูนย์บริการแล้ว ก็ให้คำนึงถึงตามที่กล่าวมาด้วยครับ ท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านใช้รถยนต์อย่างมีความสุขและคุ้มค่าสูงสุดครับ สวัสดีครับ

จานเบรกพ่นสีดีหรือไม่


หากสังเกตรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามท้องถนน จะพบว่า รถยนต์บางคันได้ทำการพ่นสีจานเบรก ไม่ว่าจะเป็นดิสเบรก หรือ ดรัมเบรก ก็ตาม ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น การกระทำเช่นนี้ เป็นความประสงค์ของเจ้าของรถเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นจุดเด่น เห็นสวยงาม สะดุดตากับผู้พบเห็น น่าจะเป็นเหตุผลอันดับต้นๆ

รถยนต์ที่ถูกผลิตขึ้นสังเกตให้ดีจะพบว่า รถยนต์ใหม่ที่ออกมาจากโรงงานจะไม่มีการพ่นสีใดๆเลยซึ่งน่าจะมีเหตุผล คือ ความร้อนที่เกิดจากการเบรกจะมีอุณหภูมิสูงมากๆจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีการถ่ายเทความร้อนได้ดีและรวดเร็ว ทางด้านวัสดุที่ใช้ทำผ้าเบรกและจานเบรก จะต้องมีการถ่ายเทความร้อน หรือ ระบายความร้อนที่ดีด้วย เพื่อให้ประสิทธิภาพเบรกสูงสุด ในรถยนต์สมัยก่อนได้มีการออกแบบและผลิตจานดิสเบรกหน้าเป็นจานดิสเบรกธรรมดา จะมีแผ่นดักลมอยู่ข้างๆเพื่อระบายความร้อน ยามที่รถยนต์เคลื่อนที่ แต่ปัจจุบัน จานดิสเบรกหน้า ได้ถูกออกแบบให้มีครีบระบายความร้อนอยู่ที่ตัวจานดิสเบรกเลย ถูกบรรจุอยู่ในรถยนต์ทุกคันไม่ว่าจะเป็นรถเก๋งหรือรถกะบะก็ตาม ซึ่งการออกแบบและผลิตขึ้นนั้นจุดประสงค์ก็เพื่อให้ประสิทธิภาพของระบบเบรกนั้นเองครับ

ในการพ่นสีที่จานดิสเบรกและดรัมเบรก ก็เท่ากับว่าเป็นการปิดกั่นการระบายความร้อน ทำให้ประสิทธิภาพของระบบเบรกด้อยลง ยิ่งขณะนั้นจานเบรกมีอุณหภูมิสูง ด้วยแล้วละก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเบรกยิ่งขึ้นไม่ทราบว่าท่านผู้อ่าน เคยลองเอามือสัมผัสกระทะล้อรถยนต์ของตนเองขณะวิ่งใช้งานมาแล้ว จะพบว่ามีความร้อนพอสมควรเลยที่เดียว เป็นเพราะว่ามีการถ่ายเทความร้อนจากจานเบรกมานั่นเอง นี่ขนาดกระทะล้อแล้วเป็นจานเบรกจะร้อนแค่ไหน (อย่านำมือแตะเด็ดขาดผิวหนังจะละลาย) ดังนั้น การที่จะทำการพ่นสี ขอให้คำนึงตามที่ได้กล่าวมาครับ

สำหรับผู้ที่ซื้อรถใหม่ อาจจะมีการตำหนิว่า รถใหม่ทำไมมีคราบสนิมเกิดขึ้นบริเวณจานเบรกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะตามที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นว่า วัสดุที่ใช้ทำจะต้องมีการคำนวณเป็นอย่างดีแล้วว่า เหมาะสมที่สุด และการที่โลหะ ( เหล็ก ) เป็นสนิม ก็มิได้ผิดปกติแต่อย่างใด หากหลายท่านใช้รถยนต์มานานแล้ว จะเกิดขึ้นมาก ก็ให้ทำการถอดจานเบรกออกมาขจัดคราบสนิมก็สามารถทำได้โดยไม่ยากเย็นนัก ส่วนรถยนต์บางรุ่น ไม่สามารถกระทำได้โดยง่าย ก็ให้ช่างช่วยจัดการให้ก็ได้ แต่ถึงอย่างไรใช้ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง สนิมย่อมเกิดขึ้นอีกอยู่ดี ถือเป็นเรื่องปกติครับ

การพ่นสีจานเบรกมองดูแล้วก็สวยงาม สะดุดตากับผู้พบเห็น ยิ่งสีนั้นๆตัดกับสีของล้อ และตัวรถยิ่งแจ่มขึ้นอย่างมาก แต่สำหรับผู้ที่ใช้งานทั่วไป หากไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะทำการพ่นสีจานเบรกถือว่าเป็นการดีอย่างยิ่งครับ

สิ่งที่ติดยางควรขจัดออก

ยางรถยนต์ก็เหมือนกับชิ้นส่วนอื่นของรถยนต์ ที่จะต้องเอาใจใส่เหมือน ๆ กัน แต่กลับถูกมองข้ามกันไป ซึ่งเจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ เวลาทำความสะอาดรถ จะต้องทำความสะอาดยางอยู่แล้วก็จริงอยู่ แต่สิ่งที่ไม่คำนึงถึงสำหรับเจ้าของรถยนต์นั่นก็คือ การสังเกตวัสดุที่ติดมากับยาง แทบจะตลอดอายุการใช้งานของยางเลย หรือ จนกว่าจะทำการเปลี่ยนยางเป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้นจริง ๆ)

วัสดุที่ติดมากับยางมีมากมายที่สามารถทำให้ยางฉีกขาด , ตำทะลุ , อื่น ๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้ยางด้อยประสิทธิภาพ นอกจากนั้นส่งผลถึงส่วนถึงแรงดันลมยางอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ตะปู , เหล็กแหลม , หิน , กิ่งไม้ และอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่ติดอยู่บนยางได้ทั้งสิ้น หากการขับรถยนต์ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าวได้ พอหลังจากขับผ่านพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ควรทำการตรวจสอบยางทุกล้อก็จะดีมาก

การตรวจสอบวัสดุที่ติดมากับยาง สามารถกระทำได้โดยไม่ยากเย็นนัก กล่าวคือ หากเราต้องการตรวจสอบและแกะวัสดุที่ติดมากับยางออกตามเส้นรอบวงของยาง ก็ให้จอดรถบนพื้นระดับ ท่านจะสามารถตรวจสอบได้เกือบทั้งเส้นของยาง ยกเว้นขอบยางด้านใน แต่ส่วนใหญ่วัสดุที่ติดอยู่จะอยู่บริเวณดอกยาง ดังนั้นควรกระทำการ ดังนี้

1.จอดรถบนพื้นระดับไม่เอียง จะดึงเบรกมือ หรือ ไม่ดึงแล้วแต่ความสะดวก หรือแม้กระทั่งเข้าเกียร์จอด(ตำแหน่ง P) สำหรับเกียร์อัตโนมัติ
2.หาเครื่องมือขนาดเหมาะมือ กะทัดรัด สำหรับแคะเศษวัสดุออกจากยาง
3.ลงมือตรวจสอบด้วยการก้มลงไปดูหน้ายางของล้อแต่ละสื่อ แล้วแต่ช่องว่างที่สามารถ
มองเห็นและสอดเครื่องมือและเมื่อได้
4.ให้ทำการปฏิบัติให้ครบทุกล้อ
5.ให้ทำการเข็นรถเพื่อให้หน้ายางไปอยู่อีกตำแหน่งหนึ่งเพื่อตรวจสอบตำแหน่งตำแหน่ง
ต่อไป
6.ทำดังเช่นข้อ 3-5 จนครบตามเส้นรอบวง
การทำลักษณะนี้ จริงอยู่ว่ามีความเมื่อยล้าอยู่บ้าง แต่การที่มีความเอาใจใส่ในรถยนต์ของ
ตนเองก็มีความภูมิใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แลกกับความเหนื่อยหลายท่านอาจจะพอใจ ลองคิดดูขนาดเราเอารถไปล้างอัดฉีดจากสถานที่ที่บริการ ยังไม่กระทำตรงจุดนี้ให้เลย(ถูกต้องนะครับ) หากท่านกระทำได้ จะส่งผลดีกับตัวยาง ได้แก่


- ขณะรถยนต์เคลื่อนที่จะไม่เกิดเสียงดัง
- ยางสามารถรีดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดอัดตราการฉีกขาดของยาง
- ข้อนี้ถือว่าสำคัญนั่นคือ ความปลอดภัย ย่อมมากขึ้นด้วย

สำหรับวันพักผ่อนที่แสนสบายของเจ้าของรถ ไหน ๆ ก็ทำความสะอาดทั้งภายนอกและภายในแล้ว ขอให้เสียสละเวลากับยางกันสักนิด โดยที่กระทำตามที่กล่าวมา ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าทุกท่านทำได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าวัสดุที่ติดมากับยางที่เป็นของเหลว ให้ทำการล้างออกเสียก่อน มิฉะนั้น จะได้รับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ จากนั้นค่อยกำจัดวัสดุที่ติดมากับยางต่อไปครับ

อนึ่ง การปฏิบัติดังกล่าว สำหรับรถยนต์ที่ยกสูง สามารถทำการปฏิบัติได้โดยง่าย แต่สำหรับรถยนต์ที่มีความเตี้ยอาจจะลำบากสักหน่อย แต่ค่อย ๆ ทำทีละนิด จนครบนะครับ ตามเส้นรอบวงและการปฏิบัติตรวจสอบแล้วว่าวัสดุที่ติดตำยาง เวลาดึงออกแล้วจะทำให้ยางรั้วลักษณะเช่นนี้ไม่ควรทำ ให้นำรถไปร้านยางจะดีที่สุด และถ้าหากยางเกิดรั่ว หลังจากที่ทำการปะยางแล้ว อย่าลืมบอกให้ร้านปะยางทำการถ่วงยางด้วยนะครับ มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อการควบคุมรถยนต์ และ สมรรถนะในการขับขี่ได้นั่นเองครับ

ท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านร่ำรวย มีความสุข สวัสดีครับ

กระจกบังลมหน้าแตก ทำอย่างไร ?


ผู้ขับขี่และผู้โดยสารน้อยคนนักที่จะพบกับเหตุการณ์ เช่นนี้ แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรขณะนั้นมีแต่ความตกใจ การที่กระจกบังลมหน้าแตกได้ มีอยู่ 2 ประเด็น 1. เกิดขึ้นด้วยตัวกระจกเอง 2. เกิดจากการกระทำของวัตถุอื่น ซึ่งทั้ง 2 ประเด็น เป็นสาเหตุที่ทำให้กระจกบังลมหน้าแตกได้อย่างกระทันหัน การขับขี่ต้องหยุดชะงัก และทำการแก้ไขเบื้องต้นก่อน เป็นอันดับแรก เพื่อที่จะสามารถขับขี่ต่อไปได้ ขอย้ำ แก้ไขแล้วขับขี่ต่อไปได้

มีข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่า มีแก๊งปาหินเกิดขึ้นบ่อย แล้วไม่รู้ว่าปาหินเพื่อวัตถุประสงค์ใด ส่วนใหญ่จะเกิดที่กระจกบังลมหน้าแทบทั้งสิ้น แต่เป็นกระจกบานอื่น ก็จะไม่มีปัญหามากนัก สามารถขับขี่ต่อไปได้เลย ขณะนั้นซึ่งเสี่ยงต่อการโจรกรรม แต่ถ้าเป็นกระจกบังลมหน้า คงต้องคาดเดาเหตุการณ์ขณะนั้นว่ามีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด เมื่อตรวจสอบแล้วกระจกบังลมหน้าแตกเอง ผู้ขับขี่จะต้องทำการปฏิบัติ ดังนี้

1.ตั้งสติ ปิดระบบปรับอากาศ ( หากเปิดอยู่ )
2.บังคับรถยนต์เข้าจอดในที่ปลอดภัย
3.ทำการดับเครื่องยนต์
4.เปิดไฟฉุกเฉิน
5.นำกระจกหน้าต่างลง อันนี้เพื่อเปิด-ปิดประตู กระจกที่แตกอยู่ไม่กระจายหรือสะเทือนน้อยลง
6.หาวัสดุ เช่น ผ้า, กระดาษ ชิ้นใหญ่ๆ มาวางปิดทับคอนโซลหน้าทั้งหมดรวมถึงพวงมาลัยด้วยและเบาะนั่งคู่หน้า
7.ทำการเคาะกระจกที่แตกออกให้หมดเท่าที่ทำได้ หาวัสดุที่แข็งทำการเคาะ ห้ามใช้มือ
8.เก็บรวบรวมกระจกที่แตก และทิ้งให้เหมาะสม เท่าที่ทำได้ขณะนั้น
9.นำกระจกหน้าต่างขึ้นสุดทุกบาน อันนี้ เพื่อมิให้ลมปะทะขณะวิ่งเข้ามายังภายในรถได้ เพราะตัวรถมีอากาศอยู่เต็มนั่นเอง
10.หาแว่นตาใส่ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารท่านอื่น เพราะเศษกระจกจะปลิวเข้าตาหรือแม้แต่วัสดุอื่น
11.ทำการติดเครื่องยนต์ ห้ามเปิดระบบปรับอากาศ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยอะไรแล้ว มิหนำซ้ำ เศษกระจกจะปลิวเข้าร่างกายได้ จะมีความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้น
12.เคลื่อนรถอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง ไม่ควรใช้ความเร็วสูง ไปตลอดการเดินทางจนถึงจุดหมาย
(ไม่ควรจอดรถไว้ในที่ที่ไม่ปลอดภัย เพราะบุคคลอื่นสามารถเข้าไปยังภายในรถได้)
คงไม่ยากมากเกินไปใช่ไหมครับ สำหรับเหตุการณ์แบบนี้ และทางทีมงานของผู้เขียนเชื่อว่าผู้ขับขี่สามารถทำได้ อย่างไร้ปัญหาครับ

สุนัขกับรถยนต์


ได้อ่านหัวข้อของบทความแล้ว ไม่ต้องตกใจนะครับ ทางผู้เขียนมีเจตนาเพื่อให้ผู้อ่านนำไปพิจารณาประกอบในการเลี้ยงสุนัข และการใช้รถในชีวิตประจำวันครับ บางท่านอาจสงสัยว่าเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร ลองติดตามกันเลยครับ

เป็นเรื่องแปลกที่สุนัขชอบปัสสาวะใส่ล้อรถยนต์ กลายเป็นของคู่กันไปเสียแล้ว และเป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่ารถยนต์ของคุณจะมีราคาแพงหรือราคาถูกก็ตาม ไม่มีการยกเว้น เมื่อสุนัขเดินผ่านมา จะปัสสาวะที่บริเวณล้อรถยนต์โดยทันที ส่วนมากก็จะเป็นเพศผู้เสียอีกด้วย ไม่ว่าคุณจะเพิ่งล้างรถหรือล้างล้อมาใหม่ก็ตาม โดนอย่างแน่นอน ยกเว้น ใช้น้ำยาป้องกันปัสสาวะสุนัข

ปัสสาวะของสุนัขนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด ย่อมส่งผลถึงล้อรถยนต์ได้ เช่น กระทะล้อที่เป็นเหล็กก็จะเกิดสนิมขึ้นได้โดยง่าย ถ้าเป็นล้อแม๊กก็จะเกิดขี้เกลือได้โดยง่าย มิหนำซ้ำ ปัสสาวะของสุนัขจะซึมเข้าตามตะเข็บของยางกับกระทะล้อ ซึ่งจะทำให้เกิดการสึกหรอก่อนเวลาอันควร แต่ที่แน่ๆ ส่งกลิ่นเหม็นอย่างแน่นอน

อันดับต่อไป สุนัขกับชิ้นส่วนรถยนต์ สำหรับผู้ที่เลี้ยงสุนัข และสุนัขนั้นค่อนข้างเล็ก หมายความว่าสุนัขยังเป็นเด็ก พฤติกรรมของสุนัขที่เป็นเด็ก ชอบกัดโน่นกัดนี่ตามประสา ย่อมส่งผลต่อชิ้นส่วนของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นพลาสติกใต้ท้องรถ, กันชน, บังโคลน และอื่นๆ ที่สุนัขพอที่จะกัดแทะได้ ถ้าเป็นชิ้นส่วนเหล่านั้นคงไม่เท่าไหร่

แต่ถ้าสุนัขตัวนั้นไปกัดสายไฟ และสายไฟเหล่านั้น มีส่วนสำคัญในการทำงานของรถยนต์ เช่น เซ็นเซอร์ต่างๆที่อยู่ใต้ท้องรถ ย่อมส่งผลถึงการทำงานของระบบนั้นๆได้ ตรงนี้ถือว่า เสียหายค่อนข้างมาก ไม่เพียงแต่จะมีราคาพอสมควรแล้ว การบริการหรือการวิเคราะห์แก้ไข ถือว่ากระทำได้ยาก (ร้านซ่อมนอกศูนย์บริการ) แต่ไม่ต้องเป็นห่วง จะมีไฟแสดงสถานะติดค้างบนมาตรวัด เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีการขัดข้องเกิดขึ้นในระบบนั้นๆ

การเลี้ยงสุนัข บางท่านเลี้ยงไว้ดูเล่น, แก้เหงา, เลี้ยงเพื่อเอาบุญ แต่ก็มีหลายท่านเลี้ยงไว้ใช้งานในการเฝ้าบ้าน ทางผู้เขียนเห็นด้วยกับการที่มีเหตุผลในการเลี้ยงสุนัข แต่ก็มีผู้รักสุนัขจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่เลี้ยงสุนัขอย่างใกล้ชิด การเดินทางไปไหนมาไหนไปด้วยกันตลอด แม้กระทั่งอยู่ในรถ ซึ่งการเลี้ยงสุนัขไว้ในรถ จะไม่เป็นผลดีต่อท่านเจ้าของรถเท่าใดนัก

สมมติว่า สุนัขอยู่ในรถแล้วมีการถ่ายสิ่งปฏิกูล(ของเสีย)ของสุนัข ก็จะสกปรกส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ไหนจะต้องทำความสะอาดอีก ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่จะตามมาอีกได้แก่ ทุกครั้งที่ใช้รถยนต์จะต้องมีการเปิดแอร์ (ระบบปรับอากาศ) จุดนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหา เพราะว่าขนของสุนัขจะถูกดูดเข้าไปทางโบล์วเวอร์แอร์ และจะไหลไปค้างที่ตู้แอร์ พอนานวันเข้าก็จะทำให้แอร์ไม่เย็น นอกจากนี้ ขนของสุนัขยังไปอุดตรงท่อน้ำทิ้งแอร์ ทำให้ระบายไม่ได้ ก็จะล้นโดนพรมรถยนต์ และเมื่อพรมเปียกก็จะส่งกลิ่นเหม็น พร้อมกับเกิดเชื้อโรคขึ้นได้โดยง่าย การถอดพรมและตู้แอร์ออกทำความสะอาด ซึ่งจะใช้เวลานาน และค่าใช้จ่ายก็มีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้น ขอให้พิจารณาตรงจุดนี้ด้วย

และนี่ก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ทางผู้เขียนมีเจตนาเพื่อให้ผู้ใช้รถยนต์เข้าใจ สิ่งที่จะได้มาก็ในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถยนต์ของท่าน รวมถึงสุขภาพอนามัยของผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านครับ ขอให้มีความสุขกับการใช้รถยนต์และการเลี้ยงสุนัขครับ

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิง


อันตรายจากกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิง
เวลานำรถเข้าไปเติมน้ำมันในปั๊มน้ำมันเราเคยได้กลิ่นน้ำมันบ้างไหม บางครั้งหลังจากที่คุณเติมน้ำมันเสร็จกลิ่นน้ำมันอาจจะติดเข้ามาในรถด้วย ยิ่งถ้าเราเปิดกระจกรถทิ้งไว้ไอน้ำมันที่เข้ามาก็จะทำให้เกิดกลิ่งดังกล่าวได้มากขึ้นไปอีก แล้วรู้ไหมว่ากลิ่นน้ำมันเหล่านี้มีอันตรายมากทีเดียว เพราะในส่วนผสมของน้ำมันจะมีสารไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเจ้าสารตัวนี้เองที่เป็นตัวการสำคัญไปทำลายไขกระดูก ทำให้เกิดโรคไขกระดูกฝ่อ หรือไขกระดูกไม่ทำงานได้ หากรับสารไฮโดรคาร์บอนเข้าไปในร่างกายอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน อีกทั้งยังทำให้เยื่อบุจมูกระคายเคืองและเป็นโรคเยื่อบุจมูกอักเสบเรื้อรัง มิหนำซ้ำยังเป็นสารสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้อีกด้วย และหากว่าเด็กๆได้รับสารไฮโดรคาร์บอนเข้าไปก็จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากเซลล์ต่างๆ ในร่างกายของเด็กค่อนข้างไวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้ถูกทำลายจากสารไฮโดรคาร์บอนได้โดยง่าย

ดังนั้นหากเราต้องเติมน้ำมันก็ควรปิดประตูหน้าต่างรถเพื่อไม่ให้กลิ่นไอของน้ำมันเข้าไปในรถมากเกินไป และเวลาที่เรานำรถออกจากปั๊มน้ำมันก็เช่นกัน อย่าลืมเปิดกระจกขับรถให้ลมโกรกระบายกลิ่นไอของน้ำมันออกไปให้หมดอย่างรวดเร็วก่อน



Fortuner ใหม่ (The ultimate Attraction) “ดึงดูดใจให้ไปกับคุณ”


สัมผัสอีกระดับ แห่งตัวตนที่เหนือกว่าด้วยยนตกรรม SUV ระดับหรูขีดสุดความสมบรูณ์แบบแห่งยนตกรรมที่พร้อมสะกดทุกสายตาให้เหลียวมองดึงดูดทุกหัวใจให้หลงใหลไม่สิ้นสุดด้วยรูปลักษณ์แห่งดีไซด์ที่โดดเด่นงามสง่าอรรถประโยชน์ที่หลากหลาย พร้อมพลังขับเคลื่อนและมาตรฐานความปลอดภัยที่ยากที่จะหายนตกรรมใดมาเทียบเคียง “Fortuner” เสน่ห์แห่งการขับเคลื่อนที่เหนือใคร ดึงดูดทุกใจโดยไปกับคุณ
จุดเด่น ที่เห็นภายนอก ที่มีการปรับปรุงใหม่ ได้แก่

•ไฟหน้าแบบ Projector ใหม่ ให้ความสว่างชัดเจนยิ่งขึ้น เส้นแนวของแสงมองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ความปลอดภัยย่อมมีมากขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญไม่รบกวนสายตาผู้ที่ขับรถสวนทางมาทำให้มีความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้เส้นทางอื่นๆอีกด้วย
•กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ หรูหรางามสง่า บ่งบอกศักดิ์ศรีความเป็นคุณอีกระดับ นอกจากสวยงามแล้ว การระบายความร้อนของเครื่องยนต์ด้วยลม ขณะวิ่งนั้นทิศทางลมเข้าปะทะกับหม้อน้ำได้ดีเป็นผลให้การถ่ายเทความร้อนของเครื่องยนต์ทำได้ดีอีกด้วย
•ไฟท้าย แบบ มัลติรีเฟลกเตอร์ ใหม่ดูหรูหราขึ้น ออกแบบให้มีเหลี่ยมมากขึ้นคล้ายๆกับ Land cruiser Pradoทำให้ผู้ขับรถตามมา เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นความปลอดภัยย่อมมีมากขึ้นอีกด้วย
•ล้อแม็คอัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ เติมเต็มอารมณ์หรู และสปอร์ตมากขึ้นนอกจากนั้นยังเพิ่มสมรรถนะในการยึดเกาะที่มากขึ้นอีกด้วย การทำความสะอาดง่ายดายเพราะมีช่องพอที่จะใช้มือสอดผ่านได้นั้นเอง
อันดับต่อมา จุดเด่นภายใน ที่มีการเติมเต็มให้หรูหรามากยิ่งขึ้น ได้แก่


•ระบบนำทาง Navigator พร้อมเครื่องเล่น DVD และจอแสดงผล LCD แบบสัมผัส เพิ่มความสุนทรีย์ ให้การเดินทาง ซึ่งระบบนี้จะคล้ายกับที่บรรจุอยู่ใน CAMRY ทุกประการ มาบรรจุ อยู่ใน FORTUNER ใหม่แล้ว
•ระบบควบคุมความเร็ว อัตโนมัติ (Cruise control ) ลดความเมื่อยล้ายามเดินทางไกล ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งระบบนี้ก็เหมือนกับที่บรรจุอยู่ใน CAMRY ทุกประการ
•ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย แบบ Bluetooth เป็นการเชื่อมต่อโทรศัพท์ของคุณโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเข้าห้องโดย หลังจากที่คุณมีการบันทึกไว้แล้ว ระบบจะทำการเชื่อมต่อให้โดยอัตโนมัติ เป็นการเพิ่มความปลอดภัย ขณะขับขี่ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถออกใบสั่งให้ท่านได้อีกต่างหาก เมื่อมีการสนทนาทางโทรศัพท์ระบบจะตัดการทำงานของเครื่องเสียงโดยทันที หากมีการวางสายเครื่องเสียงจะกลับมาทำงานให้เองโดยอัตโนมัติ สรุปได้ว่า นอกจากสะดวกสบายแล้วความปลอดภัยก็มีมากขึ้นนั่นเอง
•ชุดควบคุมระบบปรับอากาศ ได้ออกแบบใหม่ สามารถควบคุมได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น เพราะได้จัดวางตำแหน่งของการควบคุมใหม่ ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น ตามลำดับ
•กระจกมองข้าง สามารถพับเก็บด้วยไฟฟ้า ทำให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เหนือระดับยิ่งขึ้น

อันดับต่อไปมาดูกันในเรื่องของอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ได้แก่

•ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ( TRC ) ควบคุมและป้องกันการลื่นไถลของล้อ ป้องกันการสูญเสีย การทรงตัวของรถนอกจากนั้นทำให้การออกตัวเป็นไปอย่างราบเรียบนุ่มนวล ลดการเสียหายของยางและยังช่วยประหยัดเชื้อเพลิงอีกด้วยแต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องยกเลิกการทำงานก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส
•ระบบการทรงตัว ( VSC ) ควบคุมรถให้มีความมั่นคง แม้แต่ในทางโค้งและถนนเปียกลื่นโดยจะสั่งการให้เครื่องยนต์ ลดความเร็วอัตโนมัติ และยังมีระบบเบรกทำงานตามสภาวะขณะนั้นเองโดยอัตโนมัติ ยามเมื่อคอมพิวเตอร์ตรวจพบการสูญเสียการทรงตัวของรถ แต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องยกเลิกการทำงาน ก็สามารถทำได้ง่ายดาย เพียงปลายนิ้วสัมผัส
•ระบบเสริมแรงเบรก ( BA ) จะเป็นการเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกให้มากขึ้น หากมีการตรวจพบว่าผู้ขับขี่ใช้แรงเบรกไม่เพียงพอในสภาวะฉุกเฉิน ระบบจะทำงานให้โดยอัตโนมัติ ทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
•ระบบกระจายแรงเบรก ( EBD )จะทำการกระจายแรงเบรกให้เป็นอิสระไปยังล้อแต่ละล้อตามสภาวะน้ำหนักที่กดบนล้อแต่ละล้อขณะนั้น ทำให้มีการเบรกที่ปลอดภัยและระยะเบรกก็สั้นลงอีกด้วย
นอกจากนั้น Fortuner ใหม่ ได้เพิ่มขนาดของชิ้นส่วนต่างๆ ได้แก่


•ขนาดของจานเบรกหน้าให้ใหญ่ขึ้น
•เพิ่มขนาดหม้อลมเบรกให้ใหญ่ ขึ้น
•เพิ่มแรงดันแม่ปั๊มเบรกเพิ่มขึ้น อีก 50 %
สิ่งที่ได้เสริมเติมแต่งให้สะดวกมากขึ้นและสวยงามมากยังมีอีกได้แก่

•ระบบปรับอากาศ จากอยู่หลังขวา มาอยู่บนเพดานทุกที่นั่ง ทำให้มีความเย็นสบายตลอดการเดินทางหากไม่มีผู้โดยสารในแถวสอง และสาม สามารถควบคุมได้โดยผู้ขับขี่โดยมีสวิทช์ควบคุมอยู่บริเวณคอนโซลหน้า
•ชุดคอนโซลหน้ามีสีที่เข้มขึ้น บำรุงรักษาง่ายขึ้นและการสะท้อนขึ้นที่กระจกบังลมหน้านั้นแทบมองไม่เห็นทำให้การมอง ผ่านกระจกบังลมหน้าชัดเจนมากขึ้น แน่นอนที่สุด ความปลอดภัยย่อมมีมากขึ้นนั่นเอง

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ประกันภัยรถยนต์


การทำประกันภัยรถยนต์ ถือเป็นเรื่องที่ดี สำหรับเจ้าของรถยนต์ทุกท่าน หากมีการเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันภัยต้องเข้ามารับผิดชอบหรือมาดำเนินการแทนเจ้าของรถอยู่แล้ว แต่มีอยู่มากที่จะเลือกไม่ทำประกันภัยรถยนต์ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้นั่นก็คือ รถยนต์ทุกคันหากมีการใช้งานอยู่ ก่อนจะถึงวันครบที่จะต้องเสียภาษีประจำปี จะต้องมีการทำที่เราเรียกว่า “ พ.ร.บ . ” ทุกคัน มิฉะนั้นจะผิดกฎหมาย และ ไม่อนุญาตให้ต่อภาษี

การประกันภัยรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นประเภท 1 , ประเภท 2 , หรือ ประเภท 3 ก็ตาม ต่างก็มีข้อกำหนดมากมาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ ก็ไม่ทราบรายละเอียดหรือข้อมูลเท่าใดนัก รู้แต่เพียงว่ารถของฉันมีประกันภัย หากเกิดเหตุย่อมได้รับสิทธิ์ความคุ้มครอง แต่ในความเป็นจริง อาจจะไม่ตรงกับที่เราเข้าใจอยู่ก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเช่น การทำประกันชั้น 1 ได้จำแนกออกเป็นส่วนอื่นๆอีก อย่างที่เห็นเด่นชัดก็เกี่ยวกับการประกันชั้น 1 ของศูนย์บริการหรือที่เราเข้าใจว่าห้าง กับ ประกันภัยชั้นหนึ่ง ของ อู่ทั่วไป อีกอันหนึ่ง ก็ ประกันภัยชั้น 1 เกี่ยวกับคุ้มครอง รถหาย กับ รถไม่หาย ดั้งนั้นผู้ที่จะทำประกันภัย ขอให้สอบถามทำความเข้าใจให้ดีก่อนที่จะทำการใดๆ

บริษัท ประกันภัย ยินดีที่จะรับใช้ท่านเจ้าของรถอยู่แล้วตามเงื่อนไขในเอกสาร แต่พนักงานของบริษัทประกันภัยอาจเป็นพนักงานใหม่ หรือ ไม่ทราบในรายละเอียดของประกันภัยมากนัก อาจทำให้ลูกค้าเกิดความสับสน หรือ อีกประเด็นหนึ่ง คือ ผ่านทางพนักงานขายเลยทำให้ตกหล่นไปบ้าง ที่สำคัญลูกค้าไว้ใจ เจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัยเวลาเกิดเรื่องขึ้น ไม่ว่าอุบัติเหตุนั้นจะถูกหรือผิดก็ตาม ถึงอย่างไรต้องเรียกประกันภัยมา แต่มาช้าหรือมาเร็วนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ( ส่วนใหญ่จะมาช้า )

การเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ อย่าเห็นแก่ราคาถูก การบริการอาจจะไม่ดีตามที่เราคิดได้ ขอให้ท่านศึกษาให้ดีไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาลักษณะใด เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วคงจะเสียอารมณ์มิใช่น้อย ก็มีอยู่พอสมควรที่ร้องเรียนถึงบริษัทประกันภัย แต่ถ้าหากมองมุมกลับ บริษัท ประกันภัยอาจไม่จะไม่เกี่ยวข้อง แต่จะเป็นตัวเจ้าหน้าที่เอง ที่ทำให้เสียชื่อเสียงขอให้ระลึกอยู่เสมอว่า การเซ็นต์ชื่อใดๆลงไปในเอกสาร ขอให้ อ่านให้รอบคอบเสียก่อน ว่าการเซ็นต์ชื่อไปนั้นเป็นการยินยอมชดใช้ของประกัน หรือ ยินดีที่จะจ่ายค่าเสียหายโดยที่ประกันภัยไม่เกี่ยวเลย และถ้าหากเราเซ็นต์ชื่อลงไปแล้ว ถือ ว่าถูกกฎหมายเสียด้วยซ้ำ มนุษย์มีวิธีการที่แยบยลในกระทำการต่างๆโดยที่ผู้อื่นไม่ทราบ ดั้งนั้น ขอให้ใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน คนส่วนใหญ่พอเกิดอุบัติเหตุแล้วย่อมมีอารมณ์ที่ไม่ดีนัก จังหวะนี้แหละ อาจจะทำการเซ็นต์ชื่อไปโดยไม่รู้ตัว คิดว่าเซ็นต์ๆไปจะได้จบเรื่อง แต่ที่ไหนได้กลับถูกหักหลังจากเจ้าหน้าที่ประกันภัย ดั้งนั้น หากไม่เข้าใจตรงจุดใด อย่าเซ็นต์ชื่อก่อนเด็ดขาด หากเอกสารนั้นอยู่ในมือผู้ที่ไม่หวังดี อาจเสียใจภายหลังอย่างไรแล้ว การทำประกันรถยนต์ถือเป็นเรื่องดี และ จำเป็น เห็นด้วยทุกประการครับผม

“ สงสัยให้ถาม ความอย่างไร ใครถูกผิด คิดสักครู่ ดูให้เห็น แล้วจึงเซ็นต์ชื่อ รับทราบ ”

สิ่งของ วางไว้ ในรถ


ข้าวของเครื่องใช้ ที่วางไว้ในรถก็เพื่อเอาไว้ใช้งาน ซึ่งสามารถหยิบใช้ได้โดยง่าย บางชิ้นก็มีราคาแค่ไม่เท่าไร แต่ถ้าสิ่งของชิ้นนั้นมีราคา เมื่อมีการสูญหาย จะเสียดายขนาดไหน ? การที่วางสิ่งของไว้ในรถ ไม่ว่าจะถูกวางไว้ประจำหรือชั่วคราว บางครั้งจังหวะจะพอดีกับหัวขโมยที่กำลังมองอยู่ก็เป็นได้ ก็จะตกเป็นเป้าหมาย เมื่อเผลอเมื่อไหร่ เสร็จแน่ๆ ไม่ว่ารถของท่านจะมีการติดฟิล์มกรองแสงมาอย่างดีแล้วก็ตาม (พวกนี้มีพรสวรรค์ เพื่อแสวงหาในเรื่องผิดกฎหมาย) ขอให้ฉุกคิดสักนิดหน่อยว่า เก็บของเพื่อความปลอดภัย ถ้ารถของท่านประเภทที่ฝากระโปรงท้าย ก็ควรเก็บไว้ในนั้น เพราะมองไม่เห็น คงยากแก่หัวขโมยที่จะคาดเดา ก็อาจจะผ่านเลยไป แต่ถ้ามองเห็นชัดเจนแล้ว โอกาสที่จะสูญหายอาจมีมากขึ้น ไม่เพียงแต่ของจะหายแล้ว รถยนต์ของท่านอาจมีการเสียหายตามมาได้อีกด้วย

ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็มีอยู่ไม่น้อยที่จอดรถทิ้งไว้แล้ว ของมีค่าภายในรถสูญหาย ไม่ว่าจะเป็น กล้องวีดีโอ คอมพิวเตอร์แบบพกพา (โน๊ตบุ๊ก), กระเป๋าเงิน และอื่นๆ พวกหัวขโมยมีวิธีการที่แยบยล ถึงแม้จะมีระบบป้องกันอย่างดีแล้วก็ตาม การที่ตกเป็นข่าวหรือมีข่าวออกมานั้น ส่วนมากจะเป็นคนมีชื่อเสียง ก็มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นคนธรรมดา แล้วไม่ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ ดังนั้น ขอให้เจ้าของรถรำลึกเสมอว่า “อย่าประมาท”

ใช่ว่าการที่เก็บสิ่งของดีแล้ว ไว้ในเก๊ะเก็บของ หรือ ฝากระโปรงท้าย เวลาที่จะนำรถเข้าไปใช้บริการใดๆ ก็ควรให้กุญแจสำรอง ไว้แทนกุญแจหลัก ไม่ว่าจะเป็นการนำรถไปล้างอัดฉีดหรือใช้บริการอย่างอื่นที่ต้องให้กุญแจไป ขอให้ล็อคเก๊ะและฝากระโปรงท้ายด้วยกุญแจหลัก จากนั้นค่อยให้กุญแจสำรองไป เพราะจะไม่สามารถไขเปิดได้หรือดึงเปิดฝากระโปรงท้ายได้ สังเกตอย่างง่ายๆ ถ้ารถของท่านมีตำแหน่งไขกุญแจบริเวณเก๊ะเก็บของ แสดงว่า มีระบบป้องกันนั้นอยู่

ในรถยนต์แวน (VAN) บางรุ่นจะมีแผ่นเลื่อนปิดบริเวณห้องโดยสารส่วนท้าย มีไว้สำหรับปิดบังสิ่งของ ป้องกันมิให้มองเห็นได้อย่างชัดเจนนั่นเอง ดังนั้น การที่จะวางสิ่งของก็ควรเก็บให้มิดชิด เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สิน อย่า! ชะล่าใจว่า สถานที่จอดรถนั้นมี ร.ป.ภ. ดูแล, จอดรถอยู่ในแหล่งผู้คนพลุกพล่านหรือแม้กระทั่งสถานที่ราชการคงไม่มีใครมองเห็นรถยนต์ได้ตลอดเวลา สรุปว่า สิ่งของใดๆที่ล่อแหลมแก่การถูกโจรกรรม ควรเก็บให้มิดชิด แล้วรถยนต์ของท่านจะไม่ถูกบุกรุกจากผู้ที่ไม่หวังดี ครับ

วิธีการเลือกซื้อรถ

จะซื้อรถใหม่สักคัน ต้องคิดให้รอบคอบรถยนต์ไม่ใช่คันละบาทสองบาท ตัดสินใจผิดพลาดไปแล้วต้องมาปวดหัวกันทีหลังนั้น ไม่ดี เรามีแนวทางการพิจารณาเลือกซื้อรถใหม่แบบกว้างๆ ให้ท่านพอสังเขป ดังนี้

1. งบประมาณที่มีอยู่ : จะซื้อรถหรือซื้ออะไรก็ตาม ก็ควรจะเหมาะสมกับกำลังที่มี มิใช่ซื้อมาแล้วต้องมามีชีวิตยากลำบาก หรือ ซื้อมาได้ไม่นานก็ถูกยึดไป ในส่วนของงบประมาณมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้
- เงินสดที่ต้องใช้ : เงินสดสำหรับรถทั้งคันหรือ เงินดาว์น รวมทั้งค่าประกันภัย , ค่าทะเบียนและ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ
- เงินที่จะต้องผ่อนแต่ละเดือน : สำหรับท่านที่ซื้อรถเงินผ่อนซึ่งนอกจากเงินผ่อนแล้ว อย่าลืมค่าน้ำมันเชื้อเพลิง , ค่าบำรุง รักษาต่างๆ , ค่าประกันภัย และค่าทะเบียนปีต่อๆไปด้วย ( ใน Web site : www.phithan-toyota.com มีสูตรคำนวน เงินผ่อนแต่ละเดือนให้ด้วย ใช้สะดวกมาก)

2. วัตถุประสงค์ใช้งาน : จะต้องถามตัวเองก่อนว่า เราซื้อรถมาใช้ประโยชน์อะไร มีการใช้งานปกติอย่างไร มีข้อจำกัดในการใช้งานอย่างไรบ้าง ฯลฯ เมื่อทราบแล้วจึงดูว่า ในตลาดรถยี่ห้อใดรุ่นใดบ้าง ที่เหมาะกับการใช้งานของท่าน โดยทั่วๆ ไปจะมี คำถามที่เกี่ยวกับการใช้งานดังนี้

2.1 ใช้รถในกรุงเทพฯ หรือ ออกต่างจังหวัดเป็นส่วนมาก หรือ ทั้งสองอย่าง
- รถสำหรับใช้ในกรุงเทพฯ มักเรียกกันว่า City Car เป็นรถที่มีขนาดกระทัดรัด มีความคล่องตัวสูง มีอัตราเร่งดีตอนออกตัว ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากเป็นพิเศษ
- รถใช้เดินทางต่างจังหวัด ควรเป็นรถขนาดกลางหรือใหญ่มีการทรงตัวดี เครื่องยนต์มีกำลังเร่งทั้งที่รอบต่ำและรอบสูง เป็นรถที่แข็งแรงทนทาน
2.2 จำนวนผู้โดยสารประจำ
2.3 ความจำเป็นต้องใช้บรรทุกของมากน้อย และบ่อยแค่ไหน
2.4 ความจำเป็นต้องใช้การขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยปกติแล้วรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะราคาสูงกว่า , สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง มากกว่า , มีค่าบำรุงรักษาสูงกว่า และ ซ่อมแพงกว่าซึ่งถ้าซื้อมาแล้วได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่าก็ถือเป็นเรื่องดี และ ถ้าซื้อมาแล้ว ไม่ได้ใช้ขับเคลื่อน 4 ล้อเลย ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย
2.5 ใช้ลุยน้ำท่วมหรือไม่ ถ้าต้องลุยน้ำท่วมก็ควรเป็นรถที่ยกสูงซึ่งมีทั้งขับเคลื่อน 4 ล้อและ ขับเคลื่อน 2 ล้อ
2.6 อุปนิสัยการขับรถ ช้าหรือเร็ว ถ้าเป็นคนที่ขับรถช้า ขับไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ต้องพิจารณาอะไรให้มากนัก แต่ถ้าเป็นคนที่ ชอบขับเร็วแล้วสมรรถนะเครื่องยนต์ , ระบบช่วงล่าง , เกียร์ , ระบบเบรค , ขนาดล้อและยาง , อุปกรณ์ความปลอดภัย ฯลฯ คงต้องนำมาพิจารณากันซึ่งถ้าจะให้มีครบ ก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ครับ
2.7 ความสะดวกสบายและหรูหรา ข้อนี้คงพิจารณาได้ง่ายเพราะขึ้นกับเงินในกระเป๋าเป็นหลัก
2.8 ข้อจำกัดในการใช้งานอื่นๆ
- ขนาดของประตูบ้าน , ที่จอดรถ และซอยเข้าบ้าน
- ส่วนสูงของผู้ขับ
- ความปลอดภัยของที่ที่จอดรถเป็นประจำ
- ฯลฯ

3. การประหยัด
3.1 อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง :รถที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง มักเป็นรถขนาดเล็ก , เครื่องยนต์ขนาดเล็ก , เครื่องยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ , ตัวถังออกแบบให้ลู่ลมมากกว่า , เครื่องยนต์ดีเซล มักจะมีอัตราสิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิงน้อยกว่าเครื่องเบนซิน ฯลฯ
3.2 ค่าบำรุงรักษา : หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ เมื่อใช้งานถึงระยะทาง หรือ ระยะเวลาที่ผู้ผลิตได้กำหนดไว้ อาทิเช่น น้ำมันหล่อลื่นชนิดต่างๆ , ไส้กรองชนิดต่างๆ , หัวเทียน , สายพานต่างๆ , ยาง ฯลฯ รวมทั้งค่าแรง
3.3 ค่าซ่อม : หมายถึง ค่าแรงและค่าอะไหล่ของชิ้นส่วนที่หมดอายุการใช้งานหรือชำรุดโดยทั่วไปมักมีการแยกอะไหล เป็นกลุ่มดังนี้
- อะไหล่ลิ้นเปลือง หรือ อะไหล่ที่ต้องมีการเปลี่ยนบ่อยๆ เช่น ผ้าเบรค , ยางปัดน้ำฝนอะไหล่ ที่เปลี่ยนเมื่อใช้งานครบระยะทาง หรือระยะเวลา ฯลฯ
- อะไหล่ทั่วไป ซึ่งจะเปลี่ยนเมื่อตรวจพบว่าชำรุด
- อะไหล่ตัวถัง
3.4 ความทนทาน : ยิ่งซื้อรถไปเพื่อใช้งานหนัก หรือใช้มากเท่าใด ความทนทานก็ยิ่งมีความสำคัญมากเท่านั้น เพราะจะมี ผลอย่างมากต่อค่าใช้จ่าย และเวลาที่ต้องเสียไปกับการซ่อมบำรุงหากต้องการทราบว่ารถรุ่นไหนยี่ห้อไหน มีความทนทานมาก วิธีที่ง่ายก็คือ การสอบถาม จากผู้มีประสบการณ์หากเป็นรุ่นใหม่ในตลาดก็คงต้องดูที่ยี่ห้อว่าเป็นผู้ผลิตรถที่มี ความทนทานหรือไม่ นอกจากนี้สำหรับผู้เชี่ยวชาญทางวิศวกรรมยานยนต์ ก็อาจพอบอกได้จากการออกแบบ
3.5 การดูแลและการบำรุงรักษาด้วยตนเองหรือคนสนิท : เลือกรถที่สามารถดูแล และบำรุงรักษา ตลอดจนซ่อมบำรุงได้ด้วยตนเอง หรือ โดยคนสนิทที่คิดค่าใช้จ่ายถูกๆ ก็จะช่วยให้ประหยัดได้ไม่น้อย
3.6 ราคาขายต่อมือสอง : จะมีความสำคัญขึ้นมาเมื่อท่านต้องการเปลี่ยนรถ

4. การบริการหลังการขาย
4.1 มีศูนย์บริการอยู่ทั่วไป , หาง่าย , มีการบริการที่ดีได้มาตรฐาน และ ซื่อสัตย์
4.2 ความพร้อมของอะไหล่ : อะไหล่หาง่ายไม่ต้องรอนาน มีครบทุกชิ้น ในขณะที่มีรถบางรุ่นอาจต้องรออะไหล่เป็นเดือน
4.3 เงื่อนไขการรับประกัน ระยะเวลา และความสะดวกในการทำเคลม
4.4 การดูแลเอาใจใส่ของตัวแทนจำหน่าย และพนักงานขายหลังจากซื้อรถมาแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับการบริการหลังการขาย คงต้องมาจากประสบการณ์ของท่าน ของคนรู้จัก หรือ อ่านจากหนังสือต่างๆ หรือ ภาพพจน์ชื่อเสียงที่ผ่านมา

5. ความชอบและความพอใจของผู้ซื้อ สำหรับข้อนี้ก็แล้วแต่ผู้ซื้อครับ

การเลือกซื้อรถมือสอง


ท่านที่ต้องการซื้อรถมือสองหรือรถใหม่ก็แล้วแต่ ควรรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเองเสียก่อนว่าจะนำรถไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไรปัจจัยต่อไปที่เราจะพูดถึงก็คือ การพิจารณาในการเลือกซื้อรถมาใช้ ควรดูว่ารถที่เราจะขับเป็นรถยี่ห้ออะไร และมีศูนย์บริการหรือบริการหลังการขายอย่างไร อะไหล่มีราคาถูกหรือราคาแพงและหาได้ง่ายหรือไม่ เพราะรถมือสองอาจจะต้องมีการซ่อมหลังจากการซื้อมามากหน่อย ซึ่งถ้าเป็นรถทางค่ายยุโรปอาจจะมีปัญหาเรื่องการหาอะไหล่ราคาถูกได้ยาก หรืออาจจะต้องรออะไหล่นาน สิ่งเหล่านี้สามารถดูได้จากความนิยมในการใช้ทั่วๆ ไป ถ้ามีความนิยมใช้มากอะไหล่ก็จะหาได้ง่ายและมีราคาถูก ดูปีที่ผลิตรถว่ารถเก่าไปไหม หรือจะใช้ได้อีกนานหรือไม่ ดูว่าหากต้องการขายต่อ ยังพอได้ราคาอยู่หรือเปล่า ดูเลขกิโลเมตรกับปีรถว่าเหมาะสมกันหรือไม่ ซึ่งเรากำลังจะกล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อต่างๆ ต่อไปนี้ครับ

1. การตรวจเช็คสภาพภายนอกของรถยนต์ คือ การดูตัวถังภายนอกและการดูสีของรถยนต์ การดูสีของรถยนต์ควรดูที่สว่างๆ แต่ไม่ใช่กลางแดดจัด ให้มีแสงพอสมควร เริ่มจาก

1.1 ยืนในต่ำแหน่งหน้ารถ แล้วนั่งลงมองในระดับฝากระโปรงหน้าทั้งด้านซ้าย และด้านขวาดูเส้นขอบตรงหน้ารถไปจรดท้ายที่เป็นเส้นตรงว่ารอยหรือเส้นขอบต่างๆ ผิดเพี้ยนหรือไม่ถ้าดูแล้วมีรอยยุบของเส้นขอบต่างๆ ที่ไม่ต่อเนื่องสันนิษฐานได้ว่ารถคันนี้ได้มีการทำสีมาแล้ว
1.2 เดินดูรอบรถโดยดูเส้นขอบของประตูเป็นแนวเดียวกันหรือไม่ มีรอยโค้ง รอยนูนหรือเว้าหรือไม่
1.3 ดูช่องว่างระหว่างประตูแต่ละบานว่าเหมาะสมกันหรือไม่
1.4 ดูตัวถังว่ามีการโป๊วสีมาหรือไม่ โดยการใช้นิ้วดีดหรือเคาะเพื่อทำการฟังเสียง โดยทำรอบๆ ตัวรถบริเวณที่มีเสียงทึบมีโอกาสเป็นไปได้ว่ารถได้มีการทำสีมาก่อน เสียงที่ดีต้องเป็นเสียงป็อกๆ ถือว่าใช้ได้
1.5 ต่อไปให้ดูว่าผิวสีเรียบเป็นปรติเหมือนกันทั้งคันหรือไม่ เพราะถ้าผิวสีที่มีรอยนูนหรือเว้า หรือลักษณะของสีที่แตกต่างกัน
1.6 ดูส่วนประกอบรอบๆ รถ เพื่อที่จะบอกได้ว่าเจ้าของเก่ามีการใช้รถเป็นอย่างไร

2. การดูภายในห้องเครื่องยนต์ เปิดฝากระโปรงหน้าขึ้น เริ่มจาก

2.1 ดูที่คานหน้าหม้อน้ำ ทั้งด้านบนและล่าง รูน๊อตยึดต่างๆ กลมเป็นปรกติหรือไม่
2.2 ดูสภาพของสีกลมกลืนทั้งห้องเครื่องยนต์หรือไม่ ถ้าสีเหมือนกันแต่พ่นใหม่อาจจะมีการยกเครื่องออกมา เพื่อทำการซ่อมตัวถังหรือซ่อมเครื่องยนต์
2.3 ดูตะเข็บรอยต่อเป็นปรกติ เหมือนกันทั้ง 2 ข้าง
2.4 ดูซุ้มล้อหน้าซ้าย,ขวา สังเกตสติ๊กเกอร์ NAME PLATE ว่ามีหรือไม่ สภาพเป็นปกติหรือเปล่า
2.5 ดูร่องน้ำไหล ทั้งซ้ายและขวา ง่ามีรอยบุบหรือคดบ้างหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้ จะบ่งบอกถึงการเกิดอุบัติเหตุหรือเพียงแค่ทำสีใหม่เท่านั้นควรดูให้ดี

3. การดูเครื่องยนต์

3.1 คราบหรือร่องรอยของการรั่วซึมของน้ำมันเครื่อง
3.2 ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรก, คลัทช์, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ สีต้องเป็นปกติและสะอาด
3.3 ระดับน้ำยาหล่อเย็น จะต้องอยู่ในระดับที่กำหนด
3.4 ระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ สีและกลิ่นของน้ำมัน
3.5 ระดับน้ำมันเครื่องจะต้องอยู่ในระดับที่กำหนด สีและกลิ่นต้องอยู่ในสภาพที่ดี
3.6 สภาพของสายพานต่างๆ จะต้องไม่แตกร้าว ความตึงพอเหมาะ
3.7 ตรวจหม้อน้ำ,ฝาปิดหม้อน้ำ จะต้องไม่รั้วและมีน้ำอยู่ในระดับที่พอเหมาะ
3.8 สภาพของสายไฟในห้องเครื่องยนต์ จะต้องจัดเก็บเรียบร้อย
3.9 แบตเตอร์รี่จะต้องไม่บวม ขั้วแบตเตอร์รี่สภาพดี และดูอายุของแบตเตอร์รี่,สภาพของน้ำกลั่น
3.10 ติดเครื่องฟังเสียงของเครื่องยนต์ว่าผิดปกติหรือไม่ และจะติดเครื่องได้โดยง่าย
3.11 เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วสังเกตเสียงว่าผิดปกติหรือไม่ เครื่องยนต์เดินเรียบหรือเปล่า
3.12 ตรวจการรั่วของกำลังอัด ดูไอน้ำมันเครื่อง โดยดึงก้านวัดน้ำมันขึ้นมาดูว่ามีควันหรือกลิ่นไหม้ ถ้าไม่มีถือว่าใชได้ และจะต้องไม่มีแรงดัน ดันออกมาทางด้านก้านวัดน้ำมันด้วย
3.13 เดินไปท้ายรถสังเกตควันที่ออกจากท่อไอเสีย จะต้องไม่ขาวและดำ ถ้าผิดปกติแสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานบกพร่อง อาจจะต้องมีการทำเครื่องยนต์ใหม่

4. การดูห้องโดยสาร

4.1 แผงหน้าปัทม์ ดูไฟเตือนต่างๆ ขณะเปิดสวิทซ์กุญแจ ต่อจากนั้นสตาร์ทเครื่อง ไฟเตือนต่างๆ จะต้องดับลง
4.2 ระบบเครื่องเสียงใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
4.3 ระบบปรับอากาศ อุณหภูมิของลม การปรับตั้ง Mode, Fan, Temperature ทำงานได้ดีหรือเปล่า
4.4 ไฟส่องสว่างภายในรถ เช็คสัญญาณไฟเลี้ยว, ไฟสูง ว่าติดที่หน้าปัทม์หรือไม่ขณะทำการเปิด
4.5 กระจกหน้าต่างทุกบานปิดสนิทหรือไม่
4.6 เบาะนั่งอยู่ในสภาพใช้งานได้เป็นปกติสามารถทำการปรับตั้งได้หรือไม่

*โดยรวมสภาพของห้องโดยสาร จะต้องสัมพันธ์กับอายุของรถ เลขกิโลเมตร่าเหมาะสมกันหรือไม่

5. ดูห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ การดูคล้ายๆ กับห้องเครื่องยนต์

5.1 รอยตะเข็บต่างๆ ,รอยเชื่อม,รอยบัดกรี จะต้องไม่ผิดเพี้ยนจากจุดใกล้เคียง
5.2 ร่องรอยการทำสี ว่ามีสีที่ดูใหม่กว่าจุดอื่นหรือไม่
5.3 รางน้ำฝากระโปรง ต้องไม่เสียรูป
5.4 ถ้าเป็นรถเก๋งควรเปิดพรมท้ายรถดูว่ามี เครื่องมือ, ยางอะไหล่อยู่หรือเปล่า และตรวจดูว่ามีน้ำขังอยู่หรือไม่ ถ้ามีอาจเกิดจากการรั่วของรอยตะเข็บบริเวณรางน้ำของฝากระโปรงท้ายได้

6. ตรวจสอบช่วงล่าง โดยรถยนต์กับที่

6.1 กดรถทางด้านหน้าและหลัง เพื่อดูการทำงานของโช๊คอัพจะต้องไม่แข็งและเด้งเร็วเกินไป และดูว่ามีคราบน้ำมันจำนวนมากที่บริเวณโช๊คอัพหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าน่าจะชำรุด
6.2 ดูยางทั้ง 4 เส้นว่าสภาพของดอกยางมีการสึกหรอสม่ำเสมอหรือไม่ ถ้าไม่สม่ำเสมอแสดงว่าช่วงล่างและศุนย์ล้อน่าจะมีปัญหาสังเกตยางมีการปริแตกหรือฉีกขาดหรือเปล่า ยางยี่ห้อเดียวกันและรุ่นเดียวกันทั้งหมดหรือไม่ เพราะยางแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น จะมีการออกแบบมาใช้งาน และการบรรทุกจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับการผลิตของยางยี่ห้อนั้นๆ ถ้าใช้ยางผิดประเภทจะทำให้เกิดอันตรายได้

6.3 ระยะฟรีพวงมาลัยจะต้องมีเล็กน้อย ถ้ามากเกินไปเป็นไปได้ว่า ลูกหมากจะมีปัญหา
6.4 ถ้าสามารถทำการตรวจสอบใต้ท้องรถได้ ให้ดูว่ามีการผุกร่อนของตัวถังบริเวณใต้ท้องหรือไม่ แซสซีส์ต้องตรงไม่การ บิดเบี้ยว ผุ หรือทีรอยเชื่อมที่เกิดจากการหักของแซสซีส์

7. การทดสอบโดยการขับขี่ ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกขับตามสภาพถนนหลายๆ แบบ

7.1 ทดสอบระบบรองรับว่าทำงานได้ดีหรือไม่ เช่นโช๊คอัพ, สปริง, แหนบ ขณะทำการวิ่งทดสอบว่ามีเสียงดังเกิดจากช่วงล่างหรือไม
7.2 ขณะทำการเร่งเครืองยนต์ มีเสียงดังเกิดขึ้นผิดปรกติหรือไม่
7.3 ขณะรถวิ่งมีเสียงเข้ามาในห้องโดยสารมากน้อยเพียงใด
7.4 เวลาวิ่งด้วยความเร็วสูงรถควรมีการเกาะถนนที่ดีพอ และจะต้องไม่มีอาการส่ายหรือโครงไปมา
7.5 ทดลองเลี้ยวซ้ายและขวาดูว่า ช่วงล่างเกิดเสียงดังหรือไม่
7.6 การทำงานของเบรกระบบ ABS ทำงานเป็นปกติหรือไม่ โดยทำงานของเบรก ABS ขณะเบรกแบบกระทันหันจะมีการเคลื่อนตัวขึ้นลงแป้นเบรกเป็นระยะ ในขณะที่ไม่ได้ถอนเท้าออกจากแป้นเบรก ถ้ามีแสดงว่าเป็นปกติ
7.7 ทดสอบศูนย์ขณะรถวิ่ง ว่าดึงไปมาข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ และพวงมาลัยตรงพอดีหรือไม่
7.8 การตัดต่อของคอมเพรสเซอร์แอร์ขณะขับขี่มีเสียงดังเป็นปกติหรือไม่ หากมีเสียงดังเกินไปอาจเกิดจากลูกปืนคลัทช์หน้าคอมเพรสเซอร์แอร์ชำรุด
7.9 หลังจากขับทดสอบแล้วให้ติดเครื่องทิ้งไว้สักครู่ เพื่อดูความผิดปกติอีกครั้ง

8. การดูเอกสารเล่มทะเบียนรถยนต์

เราจะรู้ประวัติของรถยนต์เบื้องต้นได้โดยการตรวจสอบดูจากเล่มทะเบียนรถยนต์ จะทำให้ทราบว่ารถคันนี้ผ่านการใช้งานมาแล้วกี่ราย มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์และสีของรถยนต์หรือเปล่า ควรเลือกซื้อรถที่ผ่านการใช้งานมามือเดียว หรือจากเจ้าของคนเดียว จะช่วยให้เราสามารถซักถามประวัติการใช้รถได้ เอกสารที่ควรใส่ใจมากที่สุด คือสมุดจดทะเบียนไม่ควรมีการแก้ไขโดยไม่มีลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ขนส่งกำกับ หากสมุดจดทะเบียนมีข้อน่าสงสัยไม่ควรทำการซื้อขายรถคันดังกล่าว

แต่พอจะสรุปสุดท้ายก็คงต้องดูที่ราคาว่าเหมาะสมกับรถไหม เพราะการซื้อรถมือสองก็ต้องดูตามสภาพความเป็นจริงว่าสภาพรถขนาดนี้ ราคาก็น่าจะอยู่ประมาณนี้ เพราะถ้าจะเอารถมือสองคุณภาพเทียบเท่ารถใหม่ จะให้ราคาถูกก็คงหาได้ยากหรือหาไม่ได้เลย เพระาฉะนั้นควรระลึกไว้ด้วยว่าของถูกและดีไม่มีในโลก ควรเลือกแบบที่เหมาะสมกับราคาตามสภาพรถ และวัตถุประสงค์ของการใช้งานครับ

เคล็ดลับการขายรถใช้แล้วทางอินเตอร์เน็ต

การขายรถใช้แล้วผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้น ควรเน้นในสิ่งต่างๆที่จะทำให้ผู้ที่สนใจจะซื้อรถได้ ทราบถึงรายละเอียดของรถอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน เพราะหากมีการพบสิ่งผิดปกติในภายหลัง อาจมีการยกเลิกข้อตกที่ได้ทำกันไว้ก็เป็นได้ ซึ่งในการขายรถใช้ แล้วผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้น ท่านควรมีรายละเอียดเหล่านี้ระบุลงไปในประกาศขายของท่านด้วย อ่านต่อคลิกที่นี่

DUAL VVT-I ใน COROLLA 2.0 ลิตร


คำว่า DUAL VVT-I ตามหัวข้อเรื่องนั้น ท่านผู้อ่านหลายท่านคงเคยรับทราบกันมาบ้างแล้วว่าเครื่องยนต์บางรุ่นที่บรรจุอยู่ในรถยนต์โตโยต้า เคยมีมาแล้วสำหรับ รถที่จำหน่ายในประเทศ ได้แก่ LAND CRUISER PRADO , CAMRY 3.5 Q เทคโนโลยีดังกล่าว สามารถทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ดีขึ้นอย่างมาก กำลังของเครื่องยนต์มีมากขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เป็นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะ มลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ผ่านมาตนฐาน ยูโย 4 ( EURO 4 ) และบัดนี้เทคโนโลยีที่กล่าวถึงได้บรรจุอยู่ใน COROLLA 2.0 ลิตร แล้ว ครับ
รหัสเครื่องยนต์ 3ZR – FE 4 สูบแถวเรียง DOHC TWIN – CAM 16 วาวล์ DUAL VVT-I ปริมาณกระบอกสูบ 1,987 CC เส้นผ่าศูนย์กลาง X ระยะชัก 80.5 X 97.6 มิลลิเมตร แรงม้าสุทธิ 141 PS ที่ 5600 รอบต่อนาที่ แรงบิด189 NM ที่ 4400 รอบต่อนาที่ ทำให้ COROLLA มีพลังที่จัดจ้านขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจาก DUAL VVT- I นั่นเอง

VVTI เป็นระบบการเปลี่ยนแปลงจังหวะ การปิด – เปิดวาวล์ อย่างอัจฉริยะ เหมาะสมกับสภาวะการทำงานของเครื่องยนต์ ซึ่งการทำงานของระบบ จะมีการทำงานเฉพาะวาวล์ไอดีเท่านั้น แต่ สำหรับ DUAL VVT- I จะมีการทำงานทั้ง 2 ฝัง คือ ฝั่งไอดีและไอเสีย ไม่เพียงเท่านี้ ที่ทำให้ประสิทธิภาพเครื่องยนต์ดีขึ้น ยังมีกลไกปรับตั้งวาวล์แบบ ( HYDRAULIC LASH ADJUSTERS และ ROLLER ROCKER ARMS ) หมายความว่าการปรับตั้งวาวล์อย่างอัตโนมัตินั่นเอง นอกจากเครื่องยนต์มีเสียงการทำงานที่เงียบแล้ว ส่วนผสมระหว่างน้ำมันกับอากาศที่ดีเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน มีการปล่อยมลพิษที่มาจากเครื่องยนต์ จำนวนมาก ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต ดังนั้น การที่มลพิษที่ถูกปล่อยจากเครื่องยนต์ COROLLA 2.0 ลิตรนั้น ที่ผ่าน ยูโร 4 ก็เท่ากับว่าช่วยในเรื่องของสิ่งแวดล้อมได้จำนวนหนึ่ง ถึงแม้ว่า ยังมีรถยนต์อยู่จำวนไม่น้อย ที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน สำหรับประเทศไทยใช้ ยูโร 3 ขอให้ผู้ที่จะเลือกซื้อรถยนต์พิจารณาตรงส่วนนี้ไว้ด้วยครับ
สำหรับเครื่องยนต์ที่รองรับ น้ำมันเบนซิน E20 หรือ B5 ได้นั้น นอกจากจะช่วยในเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยเศษฐกิจภายในประเทศ พร้อมกับช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วยครับ ถ้าทุกท่าน ช่วยกันคนละนิดในเรื่องภาวะโลกร้อน เหตุการณ์จากภัยธรรมชาติต่างๆคงไม่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ตามที่เป็นข่าวกันนะครับ ส่วนหัวข้อเรื่องว่า DUAL VVT-I ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมครับ

แอ่งน้ำบนถนนมีอันตรายซ่อนอยู่


บนถนนหนทางเส้นทางเป็นปกติ ผิวของถนนแห้งและเรียบ การควบคุมรถยนต์สามารถทำได้แบบไม่ยากเย็นนัก ผิดกับถนนที่มีลักษณะไม่คงที่ ,ขรุขระ, ต่างระดับ, เปียกลื่นฯลฯ ย่อมต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นไปอีก ก็มีอยู่มาก มากที่ถนนปกติ แต่กลับมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูง ดังที่เป็นข่าวตามหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ แน่นอนเกิดขึ้นจากความประมาทส่วนบุคคล ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ถ้าหากว่าเกิดเหตุแล้วเกิดเฉพาะบุคคลก็จะดีไม่น้อย แต่ในความเป็นจริงส่วนใหญ่นำพาให้ผู้อื่นเกิดความเสียหายตามไปด้วย ขนาดเส้นทางเป็นปกติดียังมีปัญหาเกิดขึ้น ไฉนเลยมีความเป็นปกติเกิดขึ้นบนถนนย่อมมีอุบัติเหตุเป็นเรื่องธรรมดา

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น หากทุกคนรู้ล่วงหน้า คำว่า “ อุบัติเหตุ ” คงไม่มี เพราะมีการเตรียมการเตรียมตัวก่อนแน่ ๆ แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามีอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต และในการนี้จะกล่าวถึงการขับรถยนต์ผ่านแอ่งน้ำบนถนน

การขับรถผ่านแอ่งน้ำมิใช่หรือเหมือนกับการขับรถผ่านน้ำท่วม การขับรถผ่านน้ำท่วมแน่นอนต้องชะลอความเร็ว คือใช้ความเร็วต่ำ เคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ แต่สำหรับการขับผ่านแอ่งน้ำ มีความน่ากลัวกว่าน้ำท่วม ไหนจะการควบคุมรถยนต์ ไหนจะเกิดขึ้นกับสิ่งรอบข้างอีก ดังนั้น ในการนี้ ขอเสนอเหตุการณ์สมมุติเพื่อให้มีความเข้าใจมากขึ้น ดังนี้

สมมุติว่า มีแอ่งน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร อยู่บนถนนทางด้านล้อด้านซ้าย (จะพบบ่อยบนถนนในกรุงเทพมหานคร ) บริเวณป้ายรถเมล์ หรือรถประจำทางมีผู้คนยืนอยู่แล้ว มีรถขับมาด้วยความเร็ว (พอสมควรไม่ต้องถึงขนาดความเร็วสูง ) น้ำที่มีอยู่ในอ่างจะกระเซ็นขึ้นมาโดนสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บริเวณนั้นอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่น้ำเท่านั้น ตัวรถยนต์จะมีอาการถูกดึงในบางครั้งเสียการทรงตัว หรือเสียการควบคุมหากรถยนต์มีอาการหมุน ลองนึกภาพดูอะไรจะเกิดขึ้น ยกตัวอย่าง สิ่งที่ใกล้ตัวเช่น เปลือกกล้วยหอมเมื่อคนเราเหยียบย่อมเกิดการลื่น เสียการทรงตัว ขนาดเราแค่เดินก้าวนะครับ แต่รถยนต์มีการเคลื่อนตัวอย่างเร็วตอนวิ่งอยู่ ดังนั้น อาการที่เกิดขึ้นย่อมมีมาก แต่ถ้าขับด้วยความเร็วต่ำรถยนต์คงไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้นให้เห็น ก็เท่ากับว่า การบังคับ ควบคุมรถยนต์ทำได้ แต่ถ้าเราขับรถด้วยความเร็วที่สูงตัวรถยนต์จะมีอาการดึงอย่างชัดเจน แล้วถ้าขณะนั้นจับพวงมาลัยไม่แน่น บวกกับมีอาการตกใจ อะไรย่อมเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน หากพบถนนมีลักษณะเช่นนี้ ผู้ขับขี่จะต้องสังเกตแล้ววิเคราะห์ว่า จะทำอย่างไร อย่างเช่น ถ้าขณะนั้นหักหลบได้ ก็ให้ควบคุมรถไปในอีกทิศทางหนึ่ง แต่ถ้าหลบไม่ได้ ให้ลดความเร็วรถยนต์ลง พร้อมกับการแตะเบรกก่อนที่จะถึงแอ่งน้ำ เพราะถ้าเบรกที่ตรงแอ่งน้ำ รถยนต์ก็จะเกิดอาการหมุนปัด ก็จะเกิดอุบัติเหตุอีก การจับพวงมาลัยต้องแน่นขึ้นถึงกับเกร็งทั้งแขนเลย และนี้ก็เป็นวิธีการที่แนะนำ ที่ได้ผลดี

อนึ่งความไม่ประมาทนำมาซึ่งความปลอดภัย เหตุการณ์ตามหัวเรื่อง บางท่านเคยมีประสบการณ์แล้วก็จะเห็นภาพดียิ่งขึ้น สำหรับมือใหม่ควรกระทำตามคำแนะนำ อย่าลืมนะครับ ปัจจุบันรถติดไฟแดงก็นานพออยู่แล้ว ถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น จะขนาดไหน ดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้นั่นเอง ท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโชคดี สวัสดีครับ

โตโยต้า ห่วงใย ในสิ่งแวดล้อม 2


ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ใหม่ ๆ มาใช้กับเครื่องยนต์ตลอดเวลา เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงการกำเนิดเชื้อเพลิงประเภทใหม่ เช่น พลังงานไฟฟ้า และก๊าซธรรมชาติ แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นมีข้อจำกัดของการใช้งานอยู่ไม่น้อย และยังไม่สมบูรณ์ที่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้สุงสุดของการที่รถยนต์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทางโตโยได้เปิดโลกทัศน์แห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ทำการคิดค้นขุมพลังใหม่ที่เรียกว่าไฮบริด( HIBRID ) เป็นเครื่องยนต์ลูกผสม เป็นการผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายในกับมอเตอร์ไฟฟ้ามีความยอดเยี่ยมในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำ ค่ามลพิษที่เกิดจากไอเสียดีกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไปสามารถนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันได้จริงจากการทดสอบจากภายใต้แนวความคิดที่ว่า “ ประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงโดยรวม ” ( WELL – TO- WHEEL ) ซึ่งเป็นการวัดค่าประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงโดยรวม การทดสอบนี้ เป็นดัชนีที่ดีในการระบุให้เห็นถึงต้นทุนทางด้านสิ่งแวดล้อม อันเกิดจากการผลิตเชื้อเพลิงนับตั้งแต่การนำวัตถุดิบมาแปรสภาพ ความสะดวกในการจัดเก็บเชื้อเพลิงจนถึงขบวนการนำเชื้อเพลิงไปใช้ในการขับเคลื่อน ซึ่งจุดนี้ หลายคนมองข้ามกันไปโดยการทสอบพบว่า รถยนต์ไฮบริด ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซินกับมอเตอร์ไฟฟ้า กลับมีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงโดยรวมดีกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลและเบนซินเพียงอย่างเดียว หรือใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว

จากการทดสอบของรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่น เมื่อทำการเปรียบเทียบกับรถยนต์ ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินที่มีความจุกระบอกสูบ 1500 CC (1.5 ลิตร) ในระดับเดียวกันแล้ว รถยนต์โตโยต้าPRIUS ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ระบบ ไฮบริด มีความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 28 กิโลเมตรต่อลิตร ทำได้ดีกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในมากกว่า 1 เท่าตัว และมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียต่ำกว่า ถึง 50 % (ยอดเยี่ยมจริง ๆ)
โตโยต้าสามารถบรรลุถึงผลสำเร็จด้วยการเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกของโลก ที่ผลิตรถยนต์นั่งแบบไฮบริดออกสู่ตลาด โดยใช้ชื่อว่า พรีอุส (PRIUS) ในเดือนธันวาคม 2540 และครบ 1 แสนคันในเดือนสิงหาคมในปี 2545 ปัจจุบันรู้สึกว่าผลิตเกิน 1 ล้านคันไปแล้ว

ดังนั้นรถยนต์ระบบไฮบริดจึงเปรียบเสมือนกับสะพาน ที่เชื่อมต่อระหว่างรถยนต์ปัจจุบันกับในอนาคต ไม่เพียงแต่รถยนต์โตโยต้า พรีอุส เท่านั้น โตโยต้ายังได้ติดตั้ง ระบบ ไฮบริดในรถยนต์อีกหลายรุ่นในปัจจุบัน แต่สำหรับในประเทศไทย (มิได้กล่าวถึงผู้นำเข้าอิสระ) ได้แก่ CAMRY HIBRID ครับผม ท้ายนี้ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุข และร่างกายแข็งแรงทุกท่านครับ

การใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างการเติมน้ำมันที่ปั๊ม


เพื่อประโยชน์กับสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง และสามารถเป็นประโยชน์กับหน่วยงานปฏิบัติ การที่มีการรับ - จ่ายน้ำมันและก๊าชได้ด้วย จึงขอนำเสนอกกรณีอุบัติเหตุจากการใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างการเติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งผลจากอุบัติเหตุดังกล่าวทำให้ลูกค้าได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย 3 เหตุการณ์ ดังต่อไปนี้

1.ลูกค้าได้วางโทรศัพท์มือถือไว้ที่ท้ายรถขณะที่กำลังเติมน้ำมันและมีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ได้ส่งผลให้เกิดไฟลุกไหม้ รถยนต์และสถานีบริการน้ำมันได้รับความเสียหาย
2.ลูกค้าถูกไฟลวกที่บริเวณใบหน้า ขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์มือถือระหว่างเติมน้ำมัน
3.ลูกค้าถูกไฟลวกที่ต้นขาและขาหนีบ เนื่องจากโทรศัพท์มือถืออยู่ในกระเป๋ากางเกงและมีสัญญาณเรียกเข้าให้เกิดไฟลุกไหม้ น้ำมัน นอกจากนั้นแล้วยังมีรายงานว่าเคยเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือลักษณะเช่นนี้ที่แท่นขุดเจาะในทะเลอีกด้วย
ข้อมูลสำคัญ
โทรศัพท์มือถือสามารถทำให้เกิดประกายไฟและจุดติดไฟกับเชื้อเพลิงได้ (lgnite) โทรศัพท์มือถือยิ่งทันสมัยมากเท่าไร พลังงานที่ถูกปล่อยออกมาก็มากเพียงพอ ที่จะทำให้เกิดประกายไฟและจุดติดไฟได้ทั้ง ในขณะที่ทำการปิด - เปิด หรือกดปุ่มรับโทรศัพท์มือถือมีสัญญาณเรียกเข้ามา

ปิดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าไปในพื้นที่รับ-จ่ายน้ำมันและก๊าช บริเวณที่มีการขนย้ายและเก็บเชื้อเพลิง/สารเคมีสถานที่ก่อสร้าง (ข้อมูลจาก PTT Risk Alert Vol1/2002 เดือนกุมภาพันธ์ 2545 Safety (Risk ) Aler) ของ Unocal ฉบับวันที่ 18 พฤศจิกายน 2545 ซึ่งเป็นข้อมูลจากเซลล์ เนเธอร์แลนด์ วารสาร safety&Health ฉบับ เดือนสิงหาคม 2545 และ Mine Safety and Health Administration) ข้อสังเกต สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดเหตุนี้น่าจะเป็นสถานีบริการฯ ของต่างประเทศที่ลูกค้าเป็นผู้เติมน้ำมันเองหรือเป็นเหตุการณ์ที่คนที่ได้รับอุบัติเหตุกำลังอยู่ด้านนอกรถ

ข้อควรปฏิบัติสำหรับพื้นที่รับ-จ่ายน้ำมันและก๊าซ

1.ประกาศเป็นกฏความปลอดภัย หรือติดป้ายเตือนอันตรายให้ปิดโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดก่อนเข้าพื้นที่รับ -จ่ายน้ำมันและก๊าซ โดยเฉพาะฤดูหนาวอากาศแห้งจะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตย์มาก
2.แจ้งเตือน รปภ.พนักงานขับรถ ผู้ปฏิบัติงาน ลูกค้า ให้ทราบอันตรายอย่างทั่วถึง
3.ต้องเป็นโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์สื่อสารชนิด Explosion Proof เท่านั้น จึงอนุญาตให้นำเข้าไปใช้งานได้ เผยแพร่โดย: ส่วนนโยบายคุณภาพความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม ผ่ายคุณภาพความปลอดภัยอาชีวอานามัยและสิ่งแวดล้อม ธันวาคม 45

เรื่องของกรอบป้ายทะเบียนรถยนต์

รถยนตืทุกคันไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน อย่างไรจะต้องมีการขึ้นทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเพื่อให้ต้องตามกฏหมายพร้อมมีการติดตั้งทะเบียน ซึ่งป้ายทะเบียนถือว่าเป็นทรัพย์สินของทางราชการ ดังนั้น ห้ามทำการใดๆ ในการยึดป้ายทะเบียน จะต้องเป็นไปตามที่ใด้กำหนดไว้เพียงแต่ว่าจะยึดติดอย่างไรเท่านั้น

ส่วนใหญ่ในปัจจุบันตามเส้นทางต่างๆจะพบว่าใช้กรอบป้ายทะเบียนทั้งสิ้น น้อยมากที่จะเห็นว่ามีการเจาะรูพร้อมกับการยึดน๊อตการกระทำเช่นนี้ถือว่าไม่ผิด แต่จะต้องเห็นตัวหนังสือครบทุกตัว และชัดเจนถือว่าใช้ได้ แผ่นป้ายทะเบียนห้ามกระทำการใดๆลงไป เช่น สติกเกอร์ ,ทาสี , เขียนด้วยปากกาและอื่นๆ รวมถึงกรอบป้ายทะเบียนด้วย แต่สำหรับป้ายทะเบียน พิเศษที่เป็นลวดลายที่ออกโดยกรมการขนส่งทางบก ถือว่าไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใดครับ ดังนั้นท่านเจ้าของรถยนต์ควรกระทำตามที่ใด้ระบุไว้ มิฉะนั้นอาจถูกเจ้าหน้าที่เรียกจับ-ปรับได้ครับ

าถึงในเรื่องของกรอบป้ายทะเบียนกันนะครับ กรอบป้ายทะเบียนมีด้วยกันหลายชนิด หลายประเภท หลายวัสดุแต่ในการนี้จะ
กล่าวถึงการคำนึงการที่จะเลือกใช้ชนิดของกรอบป้ายทะเบียน มาดูสิว่าอย่างไหนน่าใช้กว่ากันและจะเหมาะสมกับรถยนตืมากน้อยแค่ไหน

กรอบป้ายทะเบียนที่เป็นโครเมี่ยม

กรอบป้ายทะเบียนประเภทนี้มีความเงางามเห็นแล้วเด่นชัด ดูดีมีราคา หรูหรา ทำให้เกิดความสวยงาม การยึดติดเข้ากับตัวรถจะต้องยึดแผ่นตัวรองของกรอบป้ายทะเบียนก่อนแล้วใส่ป้ายทะเบียนเหมือนกรอบป้ายทะเบียนทั่วไป จากนั้นก็ประกบด้วยกรอบป้ายทะเบียนด้านนอกอีกครั้ง บางรุ่นกรอบป้ายทะเบียนโครเมี่ยมเมื่อยึดติดแล้วจะไม่แน่นพอเวลารถวิ่งอาจเกิดเสียงดังแน่นอน การยึดกรอบป้ายด้านนอกด้วยน๊อตตัวเล็กๆจะมีโอกาศหายได้ง่าย สุดท้ายป้ายทะเบียนก็จะหลุดหายได้อีก สังเกตเห็นได้ตามรถซาเล็งหรือร้านทำป้ายทะเบียนทั่วไปที่เห็นเป็นของแท้อีกด้วย

อันดับต่อมาในเรื่องของความร้อนหากมีการจอดรถตากแดด จะมีความร้อนที่มากหากร่างกายไปโดนอาจเกิดปัญหาได้นอกจากนั้นความเงางามยังสะท้อนเมื่อยามกระทบกับแสงแดดเข้าหาผู้ร่วมใช้เส้นทางอื่น อย่างนี้ก็มีอันตรายแฝงอยู่

ต่อมาวัสดุที่ใช้ทำมีคุณภาพที่ไม่ดีก็จะเกิดสนิมโดยง่ายลักษณะเช่นนี้อาจส่งผลถึงสีรถก็เป็นไปได้อีก อันดับต่อมาอันนี้สำคัญในเรื่องของความปลอดภัย คือ หากมีการล้างรถยนต์ด้วยตนเองมีการฉีดน้ำล้างด้วยโฟมหรือน้ำยาทำความสะอาดอื่นจะต้องมีการลูบเช็ดรอบคันจังหวะนี้แหละครับ บริเวณกรอบป้ายทะเบียนตามขอบจะมีความคมมาก ขนาดผ้าหรือแม้กระทั่งฟองน้ำยังฉีกขาดเลยไฉนเลยเนื้อมนุษย์จะไม่เสียหาย ตรงนี้ขอให้ระวังให้มากๆ ( ว่างๆลองถามพนักงานที่ล้างอัดฉีดดูก็ได้ครับ ) ควรมิควรแล้วแต่เจ้าของรถเลือกใช้กันนะครับ

กรอบป้ายทะเบียนแบบพลาสติก

กรอบป้ายทะเบียนประเภทนี้ มีน้ำหนักที่เบา , ไม่สะท้อนแสง , ไม่เป็นสนิม , บริเวณขอบป้ายแทบจะไม่มีความคมเลย การถอดใส่ป้ายทะเบียนก็ง่าย( รุ่นใหม่จะใช้มือ ) และเป็นที่นิยมอย่างมากขณะนี้เรื่องของสีก็มีให้เลือกมากมายเพื่อให้เข้ากับรถยนต์ของท่านได้เป็นอย่างดี ( ดูแล้วสวย ) หากทำความสะอาดรถ ก็ไม่บาดมือ นั่นก็หมายความว่ามีความปลอดภัยมากขึ้น ทางด้านราคาจำหน่ายก็เหมาะสมซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปเหมือนกับกรอบป้ายทะเบียนทั่วไปครับ

ดังนั้น การเลือกใช้กรอบป้ายทะเบียนไม่ว่าประเภทไหนขอให้ถูกต้องตามกฎหมายกันนะครับหากไม่ใช้ก็ขอให้ติดตั้งอย่างถูกต้องกันด้วยนะครับ เพื่อสังคมไทยทีดีมีความสุขกันครับผม

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

CAMRY HYBRID 2009


ในรถยนต์โตโยต้า ระบบไฮบริด เป็นการผสานการทำงานของเครื่องและมอเตอร์ขับเคลื่อนเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องชาร์ทไฟจากเหล่งกำเนิดไฟฟ้าภายนอกเหมื่อนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั่วไป

จุดเด่นของรถยนต์โตโยต้าไฮบริด
1 เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นผลมาจากเครื่องยนตืมีการทำงานที่น้อยลงก็เท่ากับว่าใช้น้ามันที่เป็นเชื้อเพลิงน้อยลง การเผาไหม้ก็น้อยลงมลพิษหรือมลภาวะก็น้อยลง
2 ประหยัดเชื้อเพลิงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ เพราะมีมอเตอร์แบ่งเบาภาระของเครื่องยนต์ ทำให้มีการตอบสนองทุกอัตราเร่งถึงแม้ว่าเครื่องยนต์มีการทำงานที่เหมื่อนเดิมก็ตาม นอกจากนี้จะใช้พลังงานไฟฟ้าไปควบคุมระบบปรับอากาศ พวงมาลัยไฟฟ้า ระบบเบรก ถือว่าเป็นการลดภาระของเครื่องยนต์ใด้มากเช่นกัน
3 ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะในการออกตัวทุกครั้งจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ซึ่งมีแรงบิดที่สูงอัตราเร่งและการขับเคลื่อนที่ดีจากเครื่องยนต์รวมกับมอเตอร์ขับเคลื่อนบวกกับระบบ VDIM ที่เป็นระบบการขับขี่แบบอัจฉริยะ ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆในรถยนต์เพื่อการทรงตัวและสมรรถนะในการขับขี่ที่ดี
4 ลดเสียงรบกวนในห้องโดยสาร เครื่องยนต์ไม่ทำงานขณะจอดรถรอเวลาเคลื่อนตัวหากมอเตอร์มีการขับเคลื่อนอยู่จะไม่มีเสียงของเคลื่อนยนต์แม้แต่น้อย

องค์ประกอบของระบบไฮบริดโตโยต้า
เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตรซึ่งดูแล้วเหมื่อนเครื่องยนต์ทั่วไปแต่การทำงานไม่เหมื่อนเครื่องยนต์ทั่วไป จะเป็นการทำงานที่เป็นแบบวัฎจักร ATKINSON การทำงานของเครื่องยนต์ที่ให้ประสิทธิภาพสูงเมื่อเปรียบกับเครื่องยนต์ทั่วไป เหมาะสมกับการทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ในระบบไฮบริด

แบตเตอรี่ไฮบริด ชนิดนิเกิล เมทเทิลไฮดราย แรงดันไฟฟ้า 7.2 โวลต์ต่อ 1โมดูล ทังหมด34 โมดูลเท่ากับ 244.8 โวลต์ เป็นเหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนและเก็บประจุไฟฟ้า สมรรถนะสูง สามารถจ่ายไฟไปยังมอเตอร์ขับเคลื่อนและเก็บกระแสไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าใด้อย่างเหมาะสม จึงไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่จากแหล่งกำเนิดไฟภายนอก และมี e.c.u. ควบคุมการจ่ายไฟทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน มีการรับประกัน 5 ปี และไม่จำกัดระยะทาง

แบตเตอรี่เสริมไฮบริด ทำหน้าที่จ่ายไฟให้กับ e.c.u. เพื่อควบคุมอุบกรณ์ไฟฟ้าต่างๆของรถยนต์โดยมีเซ็นเซอร์คอยตรวจจับอุณหภูมิภายในแบตเตอรี่เป็นการควบคุมการชาร์จไฟเข้าเก็บในแบตเตอรี่อย่างเหมาะสม ทำให้เพิ่มอายุการใช้งานให้ยาวนานกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ทั่วไป
ชุดอินเวอรเตอร์ ทำหน้าที่แปลงไฟฟ้าเพื่อประจุไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ไฮบริดและปรับแรงดันไฟฟ้าเพื่อจ่ายไฟให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน

ชุดเกียร์ระบบไฮบริด ประกอบไปด้วยชุด MG 1 ทำหน้าที่หลักเป็นเจนเนอเรเตอร์สร้างกระแสไฟฟ้าเพื่อจ่ายให้มอเตอร์ขับเคลื่อนและเก็บไว้ในแบตเตอรี่ไฮบริด อีกหน้าที่ คือ เป็นมอเตอร์สตาร์ทเครื่องยนต์ ชุด MG 2 ทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถยนต์อีกหน้าที่ คือ สร้างกระแสไฟขณะชลอความเร็วและช่วยชลอความเร็วของรถ ภายในชุดเกียร์ยังมีอุปกรณ์แบ่งแยกกำลัง ทำหน้าที่แบ่งแยกกำลังระหว่างเครืองยนต์และมอเตอร์ขับเคลื่อน และที่กล่าวมานั้นเป็นอุปกรณ์หลักในระบบไฮบริด ยังมีสิ่งต่างๆอีกมากมายใน camry hybrid ใหม่นอกจากนั้นศูนย์บริการโตโยต้าทั่วประเทศได้มีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี เตรียมพร้อมสำหรับลูกค้าทุกท่าน ทางด้าน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ก็ได้มีการสนับสนุนการวิเคราะห์ปัญหาทางด้านไฮบริดของผู้แทนจำหน่าย โดยมีการจัดตั้งศูนย์วิเคราะห์ปัญหาด้าน เทคนิคในกรุงและตามภูมิภาคทั่วประเทศ โดยมีทีมงานพร้อมเดินทางมาให้คำปรึกษาแก่ผู้แทนจำหน่ายและลูกค้าในทุกภูมิภาค ได้อย่ารวดเร็วฉับไว

สำหรับรถยนต์โตโยต้าที่เป็นระบบไฮบริด ได้แก่

1.PRIUS รุ่นที่ 1 ปี 1997
2.ESTIMA และ CROWN ปี 2001
3.PRIUS รุ่นที่ 2 และ ALPHARD ปี 2003
4.RX 400 h และ Highlander ปี 2005
5.GS 450 h และ CAMRY HV ปี 2006
6.LS 600 h ปี 2007
7.CAMRY HYBRID ประเทศไทย 2009

ดังนั้น รถยนต์ไฮบริดของโตโยต้า ได้ตอบสนองให้กับลูกค้าทั่วโลกที่ประเทศไทยได้ใช้ CAMRY HYBRID ดังที่รอคอยกันมานาน ท้ายนี้ขอให้ผูอ่านทุกท่านมีความสุขสวัสดีครับ......

เครื่องD4D Commonrail

เครื่องยนต์ 2KD-FTV D-4D 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC เทอร์โบ

แรงม้าสูงสุด 75 กิโลวัตต์ / 3800 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร / 1600-2400 รอบต่อนาที
ความเร็วสูงสุด 158 กม. / ชม.
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 19.07 กม. / ลิตร ( 60 กม./ชม. ขับความเร็วคงที่ )
ประเภทของเครื่องยนต์ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบ
ปริมาตรกระบอกสูบ 2494 ซีซี
ความกว้างกระบอกสูบ x ระยะชัก 92.0 x 93.8
อัตราส่วนกำลังอัด 18.5 : 1

1.อัตราเร่งที่ทำให้การขับขี่สนุก ช่วงแรงบิดที่กว้างครอบคลุม รอบใช้งานปกติ ส่งผลให้ขับขี่ง่าย ตอบสนอง ทันที และเร่งกำลังเครื่องได้ดังใจ ช่วยให้ขับ เคลื่อนขณะบรรทุกหนักได้สบาย
2.ไม่กินน้ำมันเครื่อง ประหยัดน้ำมันที่สุดในบรรดารถกระบะ นอกเหนือจากที่ประหยัดน้ำมันได้มากกว่าแล้ว ยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องได้อีกเท่าตัว เมื่อเทียบกับเครื่อง 2L เท่ากับเป็นการประหยัด ค่าใช้จ่ายในการ ซ่อมบำรุง
3.เงียบ และนุ่มเหมือนรถที่ใช้เครื่องเบนซิน เครื่องยนต์ทำงานเงียบ และมีแรงสั่นสะเทือนน้อยขณะหยุดรอ สัญญาณไฟ หรือขณะรอบเครื่องเดินเบา ระดับเสียงรบกวน และแรงสั่นสะเทือนน้อยเทียบได้กับรถที่ใช้ เครื่องยนต์เบนซิน โดย ระดับเสียงที่รอบเดินเบาเพียง 49.0 เดซิเบล เทียบได้กับความเงียบของห้องพักใน โรงแรมระดับ 5 ดาว
4.ไอเสียสะอาด ปราศจากควันดำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควันดำถูกลดลงอย่าง มหาศาลเช่นกัน เพื่อร่วมรักษาสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น และเพื่อรองรับกับมาตรการ ทางด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต ผ่านมาตรฐาน Euro Step III ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุด ของการควบคุมมลพิษในสิ่งแวดล้อม แรงบิดของเครื่องยนต์จะเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 1000 รอบต่อนาที และถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 1600 รอบต่อนาที และ จะมีแรงบิดสูงสุด 260 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่ 1600 ถึง 2400 รอบต่อนาที เพื่อประโยชน์ในการใช้งานซึ่งหาไม่ได้ใน เครื่องยนต์รุ่นอื่น ๆ
เครื่องยนต์แบบ DOHC เทอร์โบ แรง เร็ว เต็มพลัง เครื่องยนต์ 2KD-FTV แบบ DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ระบบเดียวกันกับที่ใช้ใน รถแข่ง และรถสปอร์ตซึ่งมีรอบ เครื่องยนต์ และสมรรถนะสูง ด้วยการติดตั้งท่อ ไอดีแบบคู่ และวาล์วไอเสียในแต่ละกระบอกสูบ ที่ส่งกำลังขับโดย เพลาลูกเบี้ยวคู่ ช่วยเพิ่มปริมาณไอดี ลดปริมาณไอเสียด้วยประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่หมดจด สมบูรณ์แบบ ระบบชาร์จเทอร์โบช่วยเพิ่มปริมาณไอดีเข้าสู่กระบอกสูบ เป็นผลให้ได้แรงม้า และแรงบิดเพิ่มขึ้น พร้อมหัวฉีด น้ำมันเชื้อเพลิง ติดตั้งแนวตั้งที่จุดศูนย์กลางห้องเผาไหม้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ได้หมดจด ให้ไอเสีย สะอาดปราศจากมลพิษ

คอมมอนเรล ให้อัตราเร่งเต็มสมรรถนะในรอบต่ำ แรงบิดสูงสุดจาก 1,400 รอบต่อนาทีถึง 3,200 รอบต่อนาทีช่วยเพิ่มความคล่อง ตัวในการขับขี่ พร้อมให้อัตราเร่ง เต็มพลังได้ทุกสภาพการขับขี่อย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะขับขี่ระยะใกล้ในเมืองหรือบนเส้นทางไกล ให้อัตราเร่ง ตอบสนองทันใจทันทีที่เหยียบคันเร่งด้วยพลังขับเคลื่อนสมรรถนะสูงตั้งแต่ออกตัวหรือขับเคลื่อนตามกันบน หน้าด่านทางด่วน แรงบิดสูงของเครื่องยนต์ จะช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ได้มากข้นด้วย

เครื่องยนต์ใหม่ D-4D แบบคอมมอนเรล ไดเร็ค อินเจ็คชั่น ประหยัดน้ำมันได้สูงสุด

1.ได้ระยะทางไกลกว่า และมลพิษต่ำกว่า หัวฉีดแบบคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจ็คชั่นฉีดน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ได้สมบูรณ์แบบที่สุด จึงประหยัดน้ำมันได้สูงสุดต่างจากหัวฉีดแบบเก่าที่ผสมน้ำมันกับอากาศในห้องเผาไหม้ที่ทำให้ สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่า ระบบอิเล็คทรอนิกส์ควบคุมองศาการเปิดปิดวาล์วและจังหวะการฉีดน้ำมัน พร้อมหัวฉีดสมรรถนะสูงแบบคอมมอนเรลไดเร็คอินเจ็คชั่นที่พร้อมทำงานเต็มประสิทธิภาพทุกสภาพการขับขี่
2.สมรรถนะของไอลักซ์ ไทเกอร์ใหม่ พิสูจน์แล้วว่า เหนือชั้นกว่ายี่ห้อใดในรุ่นเดียวกันหนึ่งในคุณสมบัติ โดดเด่นของไฮลักซ์ ไทเกอร์ใหม่ คือประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันได้สูงสุดซึ่งพิสูจน์แล้วจากหลากหลาย สภาพการขับขี่
3.เครื่องยนต์ใหม่แข็งแกร่ง ทนทานด้วยระบบ คอมมอนเรล เสียงเครื่องเงียบและสั่นสะเทือนน้อย ส่วนประกอบ เครื่องยนต์ 2KD-FTV ของไฮลักซ์ ไทเกอร์ใหม่ ทั้งเสื้อสูบ ข้อเหวี่ยง แข็งแกร่ง ทนทานสูง สายพานไทม์มิ่งและ ฝาครอบเรซินได้รับการออกแบบใหม่ให้ลดแรงสั่นสะเทือน พร้อมด้วยระบบคอมมอนเรลที่ช่วยลดเสียงและแรง สั่นสะเทือนจากการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ผลที่ได้คือเสียงการทำงานของเครื่องยนต์เงียบและสั่นสะ เทือนน้อยที่สุด ซึ่งแตกต่างไปจากเครื่องยนต์ดีเซลแบบ ไดเร็ค อินเจ็คชั่นธรรมดา
4.คอมมอนเรล ทำให้เครื่องยนต์สะอาดปราศจากมลพิษ ไอเสียควันดำมักเกิดกับเครื่องยนต์ดีเซลระหว่าง การสตาร์ทเครื่องหรือไต่ทางชันด้วยความเร็วต่ำ อันเป็นผลเสียต่อรถที่วิ่งตามหลัง และคนเดินถนน ไฮลักซ์ ไทเกอร์ใหม่ ลดปริมาณ ไอเสียควันดำให้เหลือน้อย จนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ปริมาณของไนโตรเจน ออกไซด์ และคาร์บอนไดออกไซด์จึงลดลงจนทำให้เป็นเครื่องยนต์ที่สะอาด ปราศจากมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
รายละเอียดของระบบคอมมอนเรล
คอมมอนเรลเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล ที่ควบคุมการฉีดน้ำมัน เชื้อเพลิงใหี้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้ปั๊มแรงดันสูงเพื่อให้น้ำมันเชื้อเพลิงแตกเป็นฝอยละออง ผลลัพธ์ที่ได้

•เพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้สะอาดหมดจดที่สุด
•ให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันได้สูงสุด ทั้งปราศจากเสียงดังรบกวน และแรงสั่น สะเทือน
•ให้เครื่องยนต์มีแรงบิดสูงสุดในรอบต่ำ ระบบควบคุมการฉีดน้ำมันเครื่องเชื้อเพลิงด้วยอิเล็คทรอนิกส์ในระบบคอมมอนเรล
1. ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง ทำหน้าที่ปั๊มน้ำมันเข้าสู่ห้องเครื่องด้วยแรงดันสูง
=> ทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงแตกเป็นฝอยละอองด้วยแรงดันสูง
2.คอมมอนเรล ทำหน้าที่กักเก็บน้ำมันที่มีแรงดันสูงแล้วจ่ายเข้าสู่หัวฉีด
=> การรักษาระดับแรงดันน้ำมันสูง และทำให้น้ำมันแตกเป็นฝอยละอองจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจ่าย น้ำมันเข้าสู่หัวฉีดในปริมาณที่เครื่องยนต์ต้องการ ตามสภาพของการขับขี่
3.ระบบควบคุมหัวฉีดด้วยคอมพิวเตอร์ ECU ทำหน้าที่ควบคุมการฉีดน้ำมันในปริมาณที่พอเหมาะโดยการ วัดจากรอบเครื่อง การปิดเปิดวาล์ว การหมุนเวียนอุณหภูมิของน้ำ และปัจจัยอื่นๆ
=> ให้สมดุลในการควบคุมแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงตามสภาพรอบเครื่องจากรอบต่ำจนถึงรอบสูง
4.ระบบหัวฉีด ทำหน้าที่ฉีดฝอยละอองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยการอัดแรงดันสูงจากคอมมอนเรลพร้อมส่งคำสั่ง ควบคุมอัตราการฉีดน้ำมันตามสภาพการขับขี่ ให้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงในปริมาณและเวลาที่เหมาะสม ตามสภาพการขับขี่ มีการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงนำร่องก่อนการฉีดจริงในการจุดระเบิด
4.1 การฉีดน้ำมันเป็นฝอยละอองจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ได้ดี และสะอาดหมดจดที่สุด ทำให้ลดปริมาณควันดำจากท่อไอเสียได้มากที่สุด
4.2 ระบบการฉีดน้ำมันทดสอบ (Pilot Injection ) ที่ป้องกันการจุดระเบิดที่ล่าช้า จะช่วยทำให้
- ลดปริมาณไนโตรเจนออกไซด์ได้มากที่สุด
- ลดเสียงดังรบกวน และแรงสั่นสะเทือน
- เพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันได้สูงสุด
- ทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่าย

น้ำมันหอมระเหยปรับอากาศอโรม่า (Aroma Kit) ภายในรถยนต์

ในปัจจุบันนี้เราใช้ชีวิตบนท้องถนนกันมากขึ้น ซึ่งการที่ต้องอยู่ในรถเป็นเวลานานๆ จะทำให้เกิดความเครียด อ่อนเพลียและเหนื่อยล้า จึงขอนำเสนออุปกรณ์เสริมในรถยนต์ ที่จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นด้วยชุดน้ำหอมอโรม่า (Aroma kit) ชุดน้ำหอมระเหยปรับอากาศภายในรถยนต์แท้จากโตโยต้า เพื่อให้ตลอดระยะเวลาในการเดินทางของคุณ เต็มไปด้วยความหอมสดชื่นสดใส

อุปกรณ์บำบัดที่ใช้น้ำมันหอมระเหยกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน จากแนวคิดนี้เอง ทางโตโยต้าจึงได้ผลิตอุปกรณ์ในรถยนต์ขึ้นในชื่อ “ชุดน้ำหอมอโรม่า หรือ Aroma kit” เพื่อเพิ่มความสุนทรีย์ในการขับขี่ของคุณ ช่วยบรรเทาความอ่อนล้าจากการทำงาน หรือ จากการขับรถเป็นเวลานานๆ ซึ่งการติดตั้งอุปกรณ์ชนิดนี้ก็ทำได้สะดวกง่ายดายเพียงแค่ต่อเข้ากับที่จุดบุหรี่หรือที่เสียบปลั๊ก 12 โวลต์ ในรถยนต์ หยดน้ำมันหอมระเหยลงบนแผ่นฟิลเตอร์ และเปิดสวิทช์ ให้อุปกรณ์ทำงาน โดยขดลวดความร้อนภายในอุปกรณ์จะส่งความร้อนไประเหยน้ำมันที่แผ่นฟิลเตอร์ให้หอมกระจายไปทั่วห้องโดยสารโดยสามารถปรับเร่งความแรงของน้ำหอมได้ 2 ระดับ คือระดับปานกลางโดยจะขึ้นเป็นไฟสีเขียว และระดับแรงโดยจะขึ้นไฟสีส้ม

น้ำมันหอมระเหยอโรม่า สกัดมาจากธรรมชาติแท้ๆ จึงมีความบริสุทธิ์ 100 % โดยมีกลิ่นให้เลือก 3 กลิ่นด้วยกัน คือ Orange Harmony (กลิ่นส้ม) ให้กลิ่นหอมสดชื่นอันคุ้นเคยของผลไม้อาทิ ส้ม เกรฟฟรุ้ต ช่วยให้รู้สึกสด ชื่น และเพิ่มความตื่นตัวมากขึ้นยามขับขี่ด้วยกลิ่นโรสแมรี่ของ Mint Fresh (กลิ่นมินต์) ซึ่งเป็นกลิ่นที่ช่วยปลุกให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง กระตุ้นความคิดเหมาะมากสำหรับวันทำงาน และสุดท้าย Smart Drive (กลิ่น Smart Drive) มีจุดเด่นพิเศษที่ช่วยแก้อาการเมารถ ด้วยกลิ่นหอมของเปปเปอร์มินต์ผสมยูคาลิปตัสและลาเวนเดอร์ที่ทำให้คุณรู้สึกสดชื่นตลอดเวลา

นอกจากกลิ่นหอมที่จะช่วยให้อากาศภายในรถของท่านสดชื่นขึ้นแล้ว สำหรับรูปลักษณ์ในการออกแบบก็ดีไซน์ที่มีความสอดคล้องสวยงามเหมาะสำหรับรถยนต์โตโยต้าอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นอุปการณ์เสริมที่ทันสมัยในรถยนต์ของคุณ ที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดี คืนความสดชื่น ภายในรถยนต์ และให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

หากลูกค้าโตโยต้าท่านใดต้องการหรือสนใจอุปกรณ์ “ชุดน้ำหอมอโรม่า (Aroma kit)” นี้สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท พิธานพาณิชย์ จำกัด (กรุงเทพฯ) ได้ทั้ง 3 สาขา

อุปกรณ์ “ชุดน้ำหอมอโรม่า (Aroma kit)” สามารถติดตั้งได้กับรถยนต์โตโยต้าทุกรุ่น ซึ่งชุดน้ำหอมอโรม่า 1 ชุดจะมีน้ำหอม 1 กลิ่น ราคาประมาณ 800 บาท (ราคานี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ราคาดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (ELECTRIC POWER STEERING)


เป็นการปฏิบัติระบบบังคับเลี้ยวรูปแบบใหม่ ซึ่งทางโตโยต้าพัฒนาไปอีกขั้น ปัจจุบันได้บรรจุอยู่ในรถยนต์โตโยต้าด้วยกันหลายรุ่น สำหรับในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ได้แก่ YARIS, VIOS, COROLLA 2008 ระบบบังคับเลี้ยวแบบนี้ จะมีการทำงานด้วยพลังงานไฟฟ้า มีการทำงานที่แม่นยำ เบาแรงเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ และมีความรู้สึกว่าหนักขึ้น เมื่อความเร็วรถยนต์เพิ่มขึ้น พูดอย่างเข้าใจง่ายๆว่า พวงมาลัยแปรผันตามความเร็วของรถยนต์นั่นเอง

ชิ้นส่วนของระบบบังคับเลี้ยวนี้นั้น ชิ้นส่วนหลักก็คล้ายกับระบบบังคับเลี้ยวทั่วไป เพียงแต่ว่าชุดสร้างแรงดันไฮโดรลิค (ปั้มน้ำมัน) ไม่ว่าจะเป็น ตัวปั้มแรงดัน, ท่อแรงดัน, สายพาน และน้ำมันไฮโดรลิคไม่มี ทำให้ตัดภาระของเครื่องยนต์ หรือ การกินกำลังของเครื่องยนต์ได้อย่างมาก ด้านการทำงานจะมีมอเตอร์เป็นตัวทำงานโดยอาศัยพลังงานไฟฟ้า พร้อมกับเซ็นเซอร์ของการตรวจจับการเลี้ยว เพื่อให้เวลาทำการเลี้ยวนั้น จะได้สมบูรณ์และเที่ยงตรงที่สุด

สิ่งที่ได้จากระบบบังคับเลี้ยวประเภทนี้ คือ การบำรุงรักษาที่ต่ำ ไม่จำเป็นจะต้องบำรุงรักษาตามระยะทาง คือ มีการเปลี่ยนแปลงตามระยะทาง เช่น น้ำมันไฮโดรลิค, สายพาน และอื่นๆถูกตัดไป แต่ชิ้นส่วนหลักก็ยังมีอยู่ เช่น ลูกหมากคันชัก, คันส่ง, ยางกันฝุ่น นอกจากนั้น หากมีหารขัดข้องภายในระบบจะมีการแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีการขัดข้องเกิดขึ้น แต่การที่จะมีการขัดข้องนั้น ถือว่ายากมาก ซึ่งจะช่วยให้เจ้าของรถประหยัดได้เป็นอย่างมาก

สิ่งที่ได้ตามมาอีก คือ ลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ลดภาวะโลกร้อนและอีกหลายๆด้าน เพราะทางโตโยต้าห่วงใยในสิ่งแวดล้อม ในอนาคตทางโตโยต้า คงจะมีการติดตั้งระบบบังคับเลี้ยวแบบไฟฟ้านี้ ในรถยนต์อีกหลายๆรุ่น อย่างแน่นอน

สำหรับรถยนต์ที่มีระบบบังคับเลี้ยวอย่างอื่น แล้วจะทำการเปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้านั้น ไม่สามารถกระทำได้เพราะจะมีระบบอิเล็กทรอนิคส์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับระบบดังกล่าว อาจจะมีคำถามว่า ทำไมไม่บรรจุหรือตืดตั้งกับรถยนต์ทุกรุ่นของโตโยต้า การออกแบบในรถยนต์แต่ละรุ่นแต่ละแบบ แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในหลายๆด้าน ถึงแม้ว่าจะเป็นระบบบังคับเลี้ยวแบบใดในรถยนต์โตโยต้าก็ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และเต็มประสิทธิภาพ เช่นเดียวกัน

ยางอะไหล่

ผู้ขับขี่หลายท่านอาจมองข้ามชิ้นส่วนอยู่ชิ้นหนึ่ง หรือไม่นึกถึงเลยก็ว่าได้นั่นก็คือ “ยางอะไหล่” หากเป็นรถเก๋งไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะอยู่ภายในฝากระโปรงและมีวัสดุปิดทับอีก เวลาทำการตรวจสอบยางอะไหล่จะกระทำได้ยากกว่ารถยนต์ประเภทอื่น เลยถูกมองข้ามกันไป จริงอยู่ว่าขับขี่รถยนต์แล้วไม่เคยยางแตกเลย หรือ ทำการเปลี่ยนยางตามระยะที่กำหนดอยู่แล้ว 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร ทำให้โอกาส ที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับยางน้อยลง แต่ถึงอย่างไรผู้ขับขี่ต้องเอาใจใส่ยางอะไหล่ไว้บ้าง เผื่อว่าวันใดเกิดยางแตกขึ้นมากะทันหันจะได้หยิบใช้อย่างไร้ปัญหา หมายความว่า ยางอะไหล่ต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพเนื้อยาง , ดอกยาง รวมถึงความดันลมยาง ( อันนี้สำคัญ ) ขึ้นชื่อว่ายางอะไหล่ จะถูกใช้ยามจำเป็นและชั่วคราวเท่านั้น ยกเว้นยางอะไหล่ที่เป็นลักษณะเช่นเดียวกับยางล้อเส้นอื่น ( กระทะล้อและยางเหมือนกัน )

สมมุติว่า เกิดยางแตกที่ล้อหลัง ก็ให้ทำการถอดเปลี่ยนตามวิธีการที่ระบุอยู่ในคู่มือการใช้รถเสร็จแล้วก็ให้ตรวจความดันลมยางด้วย ถ้าสามารถทำได้ เพราะมิฉะนั้นจะมีอาการอื่นตามมา เช่น อาการกระด้างกรณียางแข็ง หรือ ยวบยาบในกรณีลมยางอ่อน เป็นต้น หลังจากนั้นก็ให้นำล้อที่ชำรุดไปทำการซ่อมอย่างด่วนที่สุด เหตุผลก็คือว่า หากมีการชำรุดของล้ออื่นอีก จะไม่มีล้อเปลี่ยน ดังนั้น ควรรีบทำการซ่อมโดยเร็วที่สุดพร้อมกับใส่ลงไปยังล้อเดิม เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องยางอะไหล่

ในกรณีที่ล้อชำรุดนั้นเป็นล้อหน้า หลังจากทำการซ่อมแล้วจะต้องทำการถ่วงล้อด้วยทุกครั้ง มิฉะนั้นจะควบคุมพวงมาลัยไม่มั่นคง นั่นก็คือ พวงมาลัยจะสั้นไม่มีทางที่จะเป็นไปได้หากมีการปะยางแล้ว ล้อจะหมุนอย่าง “สมดุล” ดังนั้นจะต้องทำการถ่วงยางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเป็นล้อหลังจะไม่เกิดปัญหาเท่าใดนัก แต่ถึงอย่างไรก็ควรทำการถ่วงยางเพื่อความสมดุลในการหมุนของล้อ

สำหรับยางอะไหล่ที่เก่ามาก ก็ควรจะเปลี่ยนยางใหม่ ถึงแม้ว่าไม่เคยถูกใช้เลยก็ตาม ขึ้นชื่อว่ายางย่อมมีอายุการใช้งานอยู่แล้ว ตรงนี้ขอให้พิจารณากันไว้ด้วย กรณีซื้อรถใหม่ป้ายแดง ยางอะไหล่ ก็จะมีอายุเหมือนกับรถยนต์อย่างนี้คิดง่ายแต่ถ้าใช้มานานหลายปีแล้ว ต้องตรวจสอบที่ตัวยางถึงจะทราบ ควรมิควรแล้วแต่ท่านเจ้าของรถ

ยางอะไหล่ของรถกระบะหรือรถตู้ยิ่งต้องตรวจสอบ ถ้าไม่มีอุปกรณ์ล็อคยางอะไหล่ ยิ่งต้องดูบ่อยมิฉะนั้นอาจจะหายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ทางที่ดีควรจะมีอุปกรณ์ล็อคยางอะไหล่ นอกจากนั้น หากติดตั้งอุปกรณ์ล็อคยางอะไหล่แล้ว ควรหล่อลื่นอุปกรณ์นั้นด้วย ประเดี๋ยวจะถูกใช้งานแล้วไขไม่ออก

การติดตั้งยางอะไหล่ก็สำคัญ ขอให้สังเกตตำแหน่งจุ๊บเติมลมแล้วหันไปทางทิศทางของการเติมลมได้อย่างสะดวก พร้อมกับ ให้เติมลมยางสูงกว่ามาตรฐานเล็กน้อย เพื่อให้ยางนั้นไม่เสียรูป และเมื่อต้องการใช้งานก็เพียงปล่อยลมยางออกง่ายกว่าที่จะเติมลมเข้าไป หากมีที่วัดความดันลมยางก็ให้วัดอยู่ในค่ามาตรฐานหรือเท่ากับล้ออื่นๆ ก็ได้ ท่านผู้ขับขี่ทุกท่านสามารถทำได้อยู่แล้ว ขึ้นชื่อว่ายางอะไหล่ ใช้ชั่วคราวเท่านั้นครับ

ยางกันโคลน คือ อะไร ?


คำว่า “ยางกันโคลน” คือ อุปกรณ์ของรถยนต์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่มิได้กล่าวถึง และมิได้ระบุอยู่ในแคตตาล็อก หรือ โบว์ชัวร์ อุปกรณ์ชิ้นนี้รถยนต์บางรุ่นก็มีโรงงานประกอบเลย บางรุ่นก็มีเพียงแค่สองชิ้น บางรุ่นอาจจะไม่มีการติดตั้งเลย ขึ้นอยู่กับเกรดรถยนต์นั้นๆ อีกอย่างหากมีการติดตั้งอุปกรณ์บางอย่างเข้ากับตัวรถยนต์ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องเอาอุปกรณ์ดังกล่าวออก ที่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่สามารถติดตั้งเข้ากับตัวรถยนต์ได้ และที่ว่าอุปกรณ์บางอย่างนั้น ก็คือสเกิร์ต ไม่ว่าจะเป็นสเกิร์ตข้างและสเกิร์ตกันชนหลัง จะไม่สามารถใส่ยางกันโคลนกลับเข้าไปได้นั่นเอง

อุปกรณ์ทุกอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับตัวรถยนต์ที่มาจากโรงงาน แสดงว่าต้องเกิดประโยชน์อย่างแน่นอน และอุปกรณ์ยางกันโคลนนั้น หากมีการติดตั้งมาจะอยู่ทางด้านหลังของล้อแต่ละล้อ และแต่ละด้าน ป้องกันการกระด็นของสิ่งของและน้ำ ไม่ใช่ว่า มันคือ “ยางกันโคลน” จะป้องกันแค่โคลนหรือขี้โคลนเท่านั้น มันยังมีประโยชน์ทางด้านอื่นด้วย สำหรับเจ้าของรถที่สังเกตหรือมองไปที่บริเวณล้อ พบว่ามีอุปกรณ์บางอย่างอยู่ทางด้านหน้าของล้อเป็นแผ่นดักลม มิใช่ ยางกันโคลน แต่อย่างใด

ไม่ทราบว่าเคยขับรถยนต์ตามรถจักรยานยนต์ หรือ รถยนต์ (ปกติ) ที่ไม่มียางกันโคลนกันบางไหมครับ ในกรณีฝนตกหรือวิ่งผ่านน้ำจะสังเกตได้ว่า การกระเด็นของน้ำจะเลยมายังรถยนต์ของเราที่ขับตาม หากเป็นน้ำก็ไม่เท่าไหร่ ยังพอทน แต่หากเป็นวัสดุที่แข็ง ไม่ว่าจะเป็นก้อนอิฐ ก้อนหิน และอื่นๆ อาจทำให้กระจกรถยนต์มีปัญหาได้ หากลองสังเกตรถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่ทีการติดตั้งยางกันโคลนที่มีขนาดแปลกๆใหญ่ๆนั้น ไม่ใช่ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์ของเขาเอง แต่เป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์ของคนอื่น ไม่เพียงแต่จะมียางกันโคลนขนาดใหญ่แล้ว ยังมีพู่อยู่ทางด้านข้างของล้อแต่ละล้อ นั้นก็หมายความว่าป้องกันการกระเด็นของน้ำและสิ่งของที่จะไปทำให้เกิดปัญหากับรถยนต์คันอื่นได้อีกด้วย

สำหรับรถยนต์ของเราเองนั้น หากไม่มียางกันโคลน ลองนึกภาพดูว่า หากรถยนต์สะอาดอยู่ เมื่อมีการขับผ่านสิ่งสกปรก โดยที่ล้อรถยนต์ขับทับไปนั้น สิ่งที่กระเด็นมาติดรถยนต์ จะเป็นอย่างไร ท่านต้องทำความสะอาดใหม่อีกครั้ง สิ่งบางสิ่งมีกลิ่นที่รุนแรง เมื่อได้สูดดมแทบจะอาเจียนออกมา (คงไม่ต้องบอกนะครับว่าสิ่งนั้นจะเป็นลักษณะอย่างไร) แต่เมื่อมียางกันโคลนก็จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้หรือผ่อนหนักให้กลายเป็นเบาได้ เพราะสิ่งเหล่านี้จะถูกปิดกันด้วยยางกันโคลนนั่นเอง หากเป็นสิ่งของที่ล้างออกลำบาก เช่น ยางมะตอย, ปูนซีเมนต์, กาวต่างๆ และอื่นๆ ท่านต้องทำความสะอาดอย่างมากทีเดียว ดังนั้น รถยนต์ของท่านหากไม่มี หรือ ชำรุด ควรรีบทำการแก้ไข แล้วท่านจะพบว่ามีประโยชน์จริงๆ

จริงอยู่ รถยนต์บางรุ่น อาจที่ต้องทำสีเพิ่มเติม เพราะยางกันโคลนในแต่ละรุ่นผู้เขียนเชื่อว่าเป็นสีดำทั้งหมด แต่ถ้ารถยนต์ของท่านยางกันโคลนเป็นสีดำ ก็สามารถติดตั้งได้เลย หากท่านไม่ทำสีเพิ่ม ก็มิได้น่าเกลียดแต่อย่างใด เพียงแค่ไม่สวยงามหรือดูแตกต่างเท่านั้น ราคาที่จำหน่ายคงไม่สูงจนเกินไปนัก การซื้อใส่ก็แล้วแต่ท่านเจ้าของรถ ถ้าหากเป็นรถยนต์รุ่นเก่าที่เลิกผลิตไปแล้ว ก็หาทางดัดแปลงของรุ่นอื่นใส่แทนได้ ไม่ว่าจะเป็นของแท้หรือแม้กระทั่งของเทียมก็ตาม

ในรถยนต์ที่มีสเกิร์ตรอบคัน สังเกตได้ว่าจะไม่มียางกันโคลนให้ มิได้ผิดแปลกแต่อย่างใด การเกิดร่องรอยที่บริเวณตัวรถยนต์ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่มีอะไรปิดบังนั่นเอง และอีกอย่างในการที่จะติดตั้งยางกันโคลนนั้น ก็ไม่สามารถติดตั้งได้ ดังนั้นจึงต้องใช้งานอย่างนั้นไป

ยางกันโคลนเป็นอุปกรณ์ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามกันไปนั้น หากคิดกันอย่างดีแล้วถือว่ามีประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอุปกรณ์อื่นเลย อย่างน้อยก็เป็นผลดีต่อรถยนต์ขอคุณและรถยนต์คันอื่นด้วย สำหรับรถยนต์ที่มีอุปกรณ์ดังกล่าวติดตั้งมา หากมีการถอดออกเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ไม่ว่าจะเป้นการใส่สเกิร์ตหรือโหลดเตี้ย ควรเก็บยางกันโคลนไว้ เผื่อวันหน้าต้องการติดตั้งกลับเข้าไปใหม่ จะได้ไม่เสียเงินซื้อใส่นั่นเอง หากต้องการสอบถามข้อมูลต่างๆ เพื่อเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ CALL CENTER โทร 02-9731268-9 ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ

ทำความสะอาดรถยนต์ด้วยตนเอง


ในกรณีที่รถยนต์ของท่านสกปรกเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องถึงขนาดใช้น้ำจำนวนมากในการล้างรถ เพียงแค่เช็คก็เพียงพอแล้ว โดยที่ท่านทำความสะอาดได้ด้วยตนเอง ก็มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น

•ใช้น้ำในการทำความสะอาดน้อย
•ใช้อุปกรณ์ในการทำความสะอาดน้อย
•ใช้เวลาในการปฏิบัติน้อย
•ไม่มีน้ำเกาะตามชิ้นส่วนต่างๆของตัวรถ
•สามารถนำไปได้ทุกที่
•ฯลฯ
การทำความสะอาดรถยนต์ โดยใช้น้ำปริมาณน้อย จะช่วยประหยัดค่าน้ำ (ประปา) ได้ เพียงแค่น้ำ 1 ถัง ไม่น่าจะเกิน 10 ลิตร ผสมกับน้ำยาทำความสะอาดและเคลือบเงา ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไป ตามปริมาณที่กำหนด คนให้เข้ากัน จากนั้นให้นำผ้าที่สะอาดแช่ลงในน้ำ แล้วบิดให้หมาดๆ เช็ดรอบๆ ตัวรถ หากผ้าเช็ดสกปรก ก็นำลงซักใหม่ในถังเช่นเดิม ทำอย่างนี้เรื่อยไปจนทั่วทั้งคัน หรือ ไม่ก็ใช้ผ้าเปียกที่ผสมน้ำยาทำความสะอาดและเคลือบเงา เช็ดให้ทั่วทั้งคัน ทิ้งไว้จนเห็นเป็นคราบขาวๆจากนั้นให้ใช้ผ้านุ่มและสะอาดที่แห้ง เช็ดตามอีกครั้ง แล้วท่านจะพบกับความเงางามรอบคัน ไม่ว่าจะที่ตัวถังรถและกระจก นอกจากนั้นหากมีการใช้ปัดน้ำฝนในหน้าฝน หรือ ตัวรถยนต์โดนน้ำ จะเห็นได้ว่าจะมีน้ำเกาะที่ตัวรถยนต์น้อยลงเท่านั้นยังไม่พอ หากมีการใช้ปัดน้ำฝน จะมีการทำงานที่ดี และปัดให้สะอาด นอกจากนั้น หากมีสิ่งสกปรกเล็กน้อยมาติดที่ตัวรถ ก็จะเช็ดออกได้โดยง่าย

สิ่งที่กล่าวถึงนั้น สามารถกระทำได้โดยไม่ยากเย็นนัก และสามารถนำไปยังจุดหมายได้ เจ้าของรถบางท่านอยู่คอนโดฯ, แฟลต, อาคารชุด และอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหา อุปกรณ์ที่ใช้ก็เพียงไม่กี่อย่าง ได้แก่ ถัง+น้ำ, ผ้าสะอาด, น้ำยาทำความสะอาดและเคลือบเงา เพียงแค่นี้ท่านก็ทำความสะอาดรถได้ สังเกตไหมครับว่า รถยนต์ของผู้บริหาร จะมีความเงางามตลอดเวลา ก็เพราะว่า พนักงานขับรถคอยทำความสะอาดตลอด ที่น่าสังเกต คือ ใช้น้ำเพียงแค่ 1 ถัง เท่านั้น

ถ้าหากรถยนต์ของท่านสกปรกมาก ก็ต้องใช้น้ำล้างทำความสะอาด หรือ ไม่ก็ไปยังสถานบริการล้างรถ เพราะที่เหล่านั้น จะมีแรงดันน้ำที่สูง, มีเครื่องดูดฝุ่น, มีลมแรงดันสูงเป่า เพียงแต่เราต้องเสียค่าบริการให้เขาเท่านั้นเอง

วันไหนหยุดงานอยู่ที่บ้าน ให้ตื่นแต่เช้ารับอากาศบริสุทธิ์ พร้อมกับการเช็ดรถ ถือว่าเป็นการออกกำลังกายดังโฆษณาที่ว่า “การทำความสะอาดบ้านถือว่าเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง” ช่วงเช้าอาจจะมีน้ำค้างเกาะอยู่บนตัวรถบ้าง ก็ให้เช็ดออกเสียก่อน แล้วเริ่มตามวิธีการดังกล่าวข้างต้น เพียงเท่านี้รถยนต์ของท่านจะสวยงามอย่างชัดเจน

ชิ้นส่วนของระบบเบรก ABS

น้ำมันเบรกเป็นของเหลวชนิดหนึ่ง สามารถดูดความชื้นได้ง่าย จะสัมผัสกับอากาศที่อยู่ในกระปุกน้ำมันเบรก เพราะว่าจะมีอากาศเข้าไปภายในได้ ผ่านทางรูหายใจ เมื่อมีการเบรก น้ำมันเบรกจะดูดซับไอน้ำจากอากาศ เพราะฉะนั้น จำนวนไอน้ำที่ผสมอยู่ในน้ำมันเบรก จะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ใช้ และจึงทำให้จุดเดือดลดต่ำลง น้ำมันเบรกจึงกลายเป็นไอได้ง่ายเมื่อน้ำมันเบรกร้อน ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการส่งแรงดันไปยังผ้าเบรกต่ำลง และในบางครั้งเกิดฟองอากาศในระบบ จะทำให้เวลาเบรกเกิดอาการจมหาย ซึ่งการเบรกจะเกิดอันตรายอย่างมาก

ในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก ก็เหมือนกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ซึ่งจะต้องมีการบำรุงรักษาตามระยะทางที่กำหนด หมายความว่า จะต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก รถยนต์โตโยต้าทุก ๆ 40,000 กิโลเมตร นั่นเอง นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของชิ้นส่วนของระบบเบรกด้วย เช่น ลูกยางเบรก, กระบอกเบรก, แม่ปั้มเบรก และอื่นๆ ถ้ารถยนต์คันนั้นมีระบบเบรก ABS ก็อาจทำให้ตัวสร้างแรงดันในระบบเบรก ABS เกิดการขัดข้องได้

เห็นมั้ยครับว่า น้ำมันเบรกมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำพาแรงเบรกส่งต่อไปยังชุดเบรกในการห้ามล้อ หรือ หยุดรถ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ขับรถแล้วไม่ใช้เบรก” เพราะฉะนั้นอย่ามองข้าม หรือ ละเลยน้ำมันเบรกนะครับ (จำเป็นจริง ๆ)

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกจะต้องทำการเปลี่ยนถ่ายทั้งระบบไม่ว่าจะมีระบบ ABS หรือไม่ก็ตาม และในการเปลี่ยนถ่ายจะต้องมีการบริการอย่างถูกวิธี ผู้ปฏิบัติจะต้องมีทักษะค่อนข้างดี และการปฏิบัติจะกระทำเพียงคนเดียวไม่ได้ (ยกเว้นใช้เครื่องมือพิเศษ) จะต้องมีอย่างน้อย 2 คน กล่าวโดยรวม ต้องอาศัย ผู้ชำนาญงานเป็นดีที่สุดครับ

เพิ่มเติม การเลือกใช้น้ำมันเชื้อเบรกควรเลือกซื้อชนิดที่มีคุณสมบัติตามคู่มือการใช้รถกำหนดและเลือกที่มีสีใส เพราะสามารถสังเกตความสกปรกได้ง่ายกว่าชนิดที่มีสีเข้มครับ

แรงดันลมยาง

แรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่น มีระบุไว้บนสติกเกอร์ที่ตัวรถยนต์หรือคู่มือประจำรถยนต์ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้วสำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้อุปกรณ์ตรวจเช็คแรงดันลมยางที่ได้มาตราฐานและวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก ( ขับไปไม่เกิน2-3 กม. ) และไม่ควรใช้เพียงสายตาในการเดาแรงดันลมยางโดยดูจากการยุบตัวของ แก้มยางเพราะ แม้ลมยางจะอ่อนลง 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว ก็อาจมองไม่เห็น ความแตกต่าง

หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย-ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตรา เร่งลดลง จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น และหากลมยางอ่อนมากๆ จะทำให้ โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการลึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของยางมากกว่าแนวกลาง

บางคนอ่อนแล้วอาจคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงดันลมยางที่มากเกิน ไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง จากหน้าสัมผัสที่ลดลง กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเลี่ยงต่อการระเบิด และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา

เดินทางไกล เติมแรงดันลมเพิ่ม

ควรเติมแรงดันลมยางมากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อป้องกันยางร้อนอันเนื่องมาจากการบิดตัวของแก้มยาง อาจตรงข้ามกับความคิด ที่ผิดๆที่ว่า เมื่อเดินทางไกลยางหมุนด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง ยางน่าจะร้อนและแรงดันเพิ่มขึ้นจากหลักการของก๊าชอากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้แรงดัน ลมยางจากปกติ ซึ่งไม่ถูกต้อง

หากมีการลดแรงดันลมยางต่ำกว่าค่าแรงดันลมยางปกติในการเดินทางไกล โครงสร้างของยางมีโอกาสการเสียรูปสูง อันเนื่องมาจากการบิดตัวของ แก้มยางต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน และทำให้อุณหภูมิของยางสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และเพิ่มโอกาสการเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากยางระเบิดได้ นอกจากนี้ยังทำให้ยางมีอายุการใช้งานสั้นลงมากอีกด้วย

วิธีที่ถูกต้อง คือ เมื่อเดินทางไกล ควรเติมลมยางมากกว่าปกติ 2-3ปอนด์/ตารางนิ้ว แรงดันลมที่เพิ่มขึ้นจะช่วยต้านการบิดตัวของแก้มยาง การบิดตัวของแก้มยาง การบิดตัวของแก้มยางน้อยลง ทำให้ไม่เกิดความร้อนมากเกินไปขณะวิ่งด้วยความเร็วสูง ลดฌอกาสเลี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากยางระเบิด

**เมื่อเสร็จจากการเดินไกลแล้ว ก็ควรลดแรงดันลมยางมาเป็นแรงดันลมปกติ**

ยางอะไหล่ต้องพร้อม
ยางรถยนต์ยุคใหม่มีโอกาสรั่วน้อยมาก ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปก็ไม่น่าเกิน1-2 ครั้ง/ปี ยางอะไหล่จึงมักไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือตรวจสอบเหมือนยางเส้นที่ใช้งานจึงควรเติมลมยางอะไหล่ไว้มากหน่อย คือ 40 ปอนด์/ตารางนิ้วเมื่อต้องการใช้ยางอะไหล่ ถ้าแรงดันลมที่มีอยู่สูงเกินไปก็แค่ปล่อยออกให้เท่าปกติ

การบำรุงรักษายางรถยนต์


รถยนต์ที่สามารถวิ่งอยู่บนถนนได้อย่างสมบูรณ์นั้น ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยอุปกรณ์มีความสำคัญยิ่งทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์ เกียร์ เบรก ระบบช่วงล่าง และยาง รถยนต์

แต่วันนี้เราจะขอพูดเรื่องของยางรถยนต์ และวิธีการบำรุงรักษา เพราะยางรถเปรียบเสมือนรองเท้า ที่เราสวมใส่ ถ้ารองเท้าไม่พอดี อาจจะทำให้ผู้ใส่เกิดอาการเจ็บเท้าหรือเดินไม่ถนัด ทำให้เสียบุคลิกในการเดินได้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยางรถยนต์ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนของรถยนต์ เพราะยางรถยนต์จะต้องหมุนไปตลอด เมื่อรถยนต์เคลื่อนที่ยางรถยนต์ทำหน้าที่ รองรับน้ำหนักรถ และน้ำหนักบรรทุก ลดแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือน ทำหน้าที่ส่งแรงม้าจากเครื่องยนต์ สู่พื้นผิวถนนและยึดเกาะถนนในการเข้าโค้ง ยางรถยนต์ จะมีประโยชน์และให้สมรรถนะสูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับ การใช้งาน และการดูแลบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้รถมีความปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย อีกด้วย การตรวจยางในชั้นพื้นฐานที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ก็คือ เรื่องการวัดลมยางหรือการสูบลมยาง สาเหตุที่ต้องวัด หรือสูบ หรือเติมลมยางเข้าไปเนื่องจาก ยางรถยนต์ของรถแต่ละประเภท แรงดันของลมในยาง จะไม่เท่ากันซึ่งต้องดูถึงสภาพของรถที่ท่านใช้ด้วย อย่างเช่น รถยนต์นั่งต้องการความนิ่มนวลในการขับขี่ ส่วนยางของรถบรรทุก ต้องมีความสามารถในการรับ น้ำหนักบรรทุก นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงขนาดของยาง และจำนวนชั้นของผ้าใบ ถ้ายางที่มีจำนวนชั้นผ้าใบน้อย ถ้าเติมลมมากไป อาจจะทำให้ยางระเบิดขึ้นมาได้

ข้อควรปฏิบัติบำรุงรักษายางรถยนต์

1. ตรวจเช็คลมยางทั้ง 4 ล้อ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
2. ควรสูบ หรือเติมลมยางมาตรฐานที่ทางโรงงานผู้ผลิตกำหนด (ขณะที่ยางเย็น)
3. การเพิ่ม หรือลดลงยางให้มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักบรรทุก
4. เมื่อขับรถออกต่างจังหวัด หรือใช้ความเร็วสูง ควรเพิ่มลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว
5. อย่าลดลมยางในขณะที่ฝนตกหรือวิ่งบนถนนเปียก เพราะอาจจะทำให้ การยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพการรีดน้ำของดอกยางลดลงด้วย

เชื้อเพลิงเครื่องดีเซล


สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนมาก หรือ เกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทย สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะมีให้เลือกอยู่ 2 ชนิด (ตามหัวจ่าย) มีดังนี้

1.น้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว
2.น้ำมันเชื้อเพลิงไบโอดีเซล
ซึ่งทั้ง 2 ชนิด มีอัตราส่วนผสมของ เมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันไม่เท่ากัน แต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของรัฐบาล สำหรับ น้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว ปัจจุบันทางรัฐบาลให้มีการผสม เมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันไม่ต่ำกว่า 1.5% แต่ต้องไม่เกิน 2% ซึ่งการที่กำหนดไว้อย่างนี้ ถือว่าเป็นการช่วยชาติในเรื่องของการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้มีราคาจำหน่ายที่ถูกลง พร้อมทั้งช่วยเหลือเกษตรกรอีกด้วย เช่นเดียวกันกับน้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน ที่เรียกว่า “แก๊สโซฮอล์” ที่นำพืชผลทางการเกษตรมาผลิตเป็นเอทานอล ผสมลงในน้ำมันเบนซินอ๊อกเทนต่างๆ ดังที่ใช้กันอยู่ ณ ปัจจุบันนั่นเอง แต่น้ำมันดีเซลหมุนเร็วนั้น ที่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ยังคงใช้หัวจ่ายว่าดีเซลเหมือนเดิม

ในด้านน้ำมันเชื้อเพลิงไบโอดีเซลก็คล้ายกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว แต่มีการผสมของเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ไม่ต่ำกว่า 4% แต่ไม่เกิน 5% ซึ่งเชื้อเพลิงประเภทนี้ จะมีราคาถูกกว่าดีเซลหมุนเร็ว ไม่ว่าการเลือกใช้งานแบบใด จะมีอัตราสิ้นเปลืองใกล้เคียงกัน ยกเว้นในเรื่องของราคาจำหน่าย ส่วนการเลือกใช้ก็แล้วแต่ท่านเจ้าของรถที่จะเติมประเภทไหน เพียงแค่บอกเจ้าหน้าที่บริการของปั้มน้ำมันนั้นๆ แต่ก็มีหลายสถานีที่ยังคงมีหัวจ่ายดีเซลเพียงแค่อย่างเดียว ซึ่งไม่ผิดกฎบังคับแต่อย่างใด การเข้าเติมคงจะต้องให้ตรงช่อง หากว่าสถานีนั้น มีเชื้อเพลิงเครื่องดีเซลหลายประเภท ถ้าเข้าเติมแล้วบอกว่า “ดีเซลเต็มถัง” อาจจะมีการผิดพลาดได้ ดังนั้น ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ดี ว่าต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างไร ก็มีบ่อยครั้งที่เครื่องยนต์ดีเซลเติมเบนซิน หรือ เครื่องยนต์เบนซินเติมดีเซล เป็นเพราะการเข้าจอดตรงช่องเติม ทำให้เข้าใจว่า เติมน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทนั้น นั่นเอง

แต่ยังมีน้ำมันดีเซลอีกประเภทหนึ่ง คือ ไบโอดีเซลชุมชน หรือ ไบโอดีเซล สำหรับเครื่องยนต์ทางการเกษตร ซึ่งเชื้อเพลิงประเภทนี้ไม่สามารถใช้ในรถยนต์ได้ จะใช้กับเครื่องยนต์ทางการเกษตรเท่านั้น โดยทางรัฐบาลได้กำหนด คุณสมบัติของเชื้อเพลิงประเภทนี้ไว้อยู่แล้ว

ส่วนทางด้านไบโอดีเซล B5 นั้น มีบางสถานีได้มีการจำหน่ายกันบ้างแล้ว แต่ทางรัฐบาลมี นโยบายว่า จะให้มีการจำหน่ายในปี 2554 ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์กำลังอยู่ในขั้นตอนทดสอบรถยนต์ดีเซล, เพื่อรองรับเชื้อเพลิง B5 หากผู้ที่จะใช้เชื้อเพลิงประเภทนี้ขอให้ศึกษาให้ดีก่อนก็จะส่งผลดีแก่รถยนต์ของท่าน หากยังไม่มีการประกาศเป็นทางการของผู้ผลิตรถยนต์ ไม่ควรเติมใช้งานอย่างเด็ดขาด ขอย้ำ อย่างเด็ดขาด เพราะส่งผลโดยตรงต่อเครื่องยนต์ของรถยนต์ ดังนั้น ไม่ควรเติม ถึงแม้ว่าจะมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็วก็ตาม

มีบางท่านได้ทดลองใช้ B5 แล้ว พบว่า ไม่มีผลใดๆ เลย ใช้ได้เหมือนปกติ บางท่านก็บอกว่า อัตราเร่งสู้ดีเซลหมุนเร็วไม่ได้ บางท่านก็บอกว่าไม่ใช้ดีกว่า เพราะกลัวว่าไม่เห็นผลตอนนี้ แต่อาจจะออกอาการในอนาคต ซึ่งก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่า สามารถใช้ได้หรือไม่ คงต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ดังนั้น ในการเลือกใช้ ขอให้พิจารณาให้ดี เพื่อรถยนต์ของท่านมีประสิทธิภาพสูงสุดครับ