วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Honda เปิดตัว Accord Hybrid ใหม่ ประหยัดน้ำมันสูงสุด 23.6 กม./ลิตร


 Honda  ประกาศเปิดตัว HONDA ACCORD HYBRID ใหม่ ทำงานด้วยระบบ Sport Hybrid i-MMD (Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive) แบบ Full Hybrid  ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ Atkinson Cycle DOHC i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีมสำหรับระบบไฮบริดโดยเฉพาะ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว และเกียร์ E-CVT พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนประสิทธิภาพสูง ให้สมรรถนะการขับขี่อันทรงพลัง ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด  ยังคงความโดดเด่นด้วยดีไซน์ ที่หรูหรา สง่างาม เพิ่มความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยไฟหน้า ไฟท้าย และกระจังหน้าตกแต่งด้วยเลนส์สี Clear Blue ภายในห้องโดยสารยังคงความสะดวกสบาย กว้างขวาง ให้ความเงียบสบายตลอดการเดินทางครบครันด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานระดับพรีเมี่ยม และเทคโนโลยีความปลอดภัยอันเหนือชั้น พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม ด้วย 2 รุ่น ราคาตั้งแต่ 1,659,000 – 1,899,000 บาท ตั้งเป้าการจำหน่าย 6,000 คันภายในหนึ่งปี
ในปี 2556 ฮอนด้า ได้เปิดตัว ฮอนด้า แอคคอร์ด เจนเนอเรชั่นที่ 9 และได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยด้วยยอดจำหน่ายสะสมกว่า 18,000 คัน (มี.ค. 56 – มิ.ย. 57) มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด และครองอันดับหนึ่งในกลุ่มรถยนต์นั่งประเภทครอบครัว ฮอนด้ามุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามพันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมเสมอมา พร้อมกับการสร้างสรรค์ยนตรกรรมให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น จึงได้ต่อยอดการพัฒนายานยนต์ที่ผสานเทคโนโลยีไฮบริดอันล้ำสมัย เพื่อความเป็นที่สุดแห่งความสมบูรณ์แบบของเทคโนโลยีไฮบริด”
ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิถุนายน 2556 และเปิดตัวในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เมื่อเดือนตุลาคม 2556 ประเทศไทยจึงนับเป็นประเทศที่ 4 ในโลก ที่เปิดตัวรถยนต์รุ่นนี้ ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด เป็นยนตรกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive หรือ i-MMD แบบ Full Hybrid ที่ล้ำสมัยที่สุด ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และให้อัตราการประหยัดน้ำมันสูงถึง 23.6 กิโลเมตรต่อลิตร* สูงที่สุดในกลุ่มรถยนต์ระดับเดียวกัน นับเป็นนวัตกรรมไฮบริด ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด”
การเปิดตัว ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่นี้ นับเป็นการพลิกโฉมยนตรกรรมไฮบริดระดับพรีเมี่ยมด้วยองค์ประกอบที่เป็นที่สุดของการพัฒนายนตรกรรมที่จะเปลี่ยนทุกสิ่งให้เป็นได้ ได้แก่
นวัตกรรมไฮบริดอันล้ำสมัย ด้วยเทคโนโลยีระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ทำงานด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว Atkinson-cycle Double Over Head Camshaft (DOHC) i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม สำหรับระบบไฮบริดโดยเฉพาะ ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า ด้วยแรงบิดสูงสุด 165 นิวตัน-เมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ให้กำลังสูงสุด 169 แรงม้า ด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 307 นิวตัน-เมตร เกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ที่ให้ประสิทธิภาพสูงในการชาร์จและจ่ายกระแสไฟได้ดีกว่า จึงสามารถขับขี่ได้ต่อเนื่องยาวนานในโหมดการขับขี่ด้วยไฟฟ้า นับเป็นระบบไฮบริดแบบ Full Hybrid ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา จึงให้สมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ ตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม และประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ ยังมีหน้าจอแสดงผลการจ่ายไฟและชาร์จไฟของระบบไฮบริด (Power and Charge Meter) และสวิตช์ควบคุมโหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Eco Coaching ระบบแสดงผลการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน รวมทั้งปุ่ม Econ Mode ที่ช่วยควบคุมการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และรองรับพลังงานทางเลือก E20
ระบบไฮบริดแบบอัจฉริยะที่สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่ได้ถึง 3 โหมด ดังนี้
1. โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) มอเตอร์จะขับเคลื่อนล้อด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ และในขณะลดความเร็วจะเปลี่ยนพลังงานที่เกิดจากการลดความเร็วนั้นให้เป็นพลังงานไฟฟ้าและชาร์จกลับไปยังแบตเตอรี่ ซึ่งในระบบนี้จะให้ทั้งสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และความเงียบเช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในเมือง
2. โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) เป็นระบบขับเคลื่อนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกิดจากเครื่องยนต์ และพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ผสานกำลังในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้เกิดแรงบิดสูงสุดอย่างรวดเร็ว มีอัตราเร่งที่ตอบสนองทันใจ และในขณะลดความเร็ว เครื่องยนต์จะหยุดทำงาน และชาร์จไฟกลับอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ในขณะเร่งความเร็ว
3. โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) พลังขับเคลื่อนจะมาจากเครื่องยนต์ โดยชุดล็อกอัพคลัทช์ที่อยู่ในเกียร์ E-CVT จะเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์ และส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อโดยตรง ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงและแรงเสียดทานต่ำ เป็นระบบที่เหมาะสมกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงคงที่

ภายนอก ยังคงความหรูหรา สง่างาม และเพิ่มความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น ด้วยไฟหน้าแบบ LED ตกแต่งด้วยกรอบสีฟ้า ไฟท้ายแบบ LED และกระจังหน้าดีไซน์พิเศษตกแต่งด้วยเลนส์สี Clear Blue



ภายใน ห้องโดยสารยังคงความกว้างขวาง สะดวกสบาย ครบครันด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานระดับพรีเมี่ยม อาทิ ระบบสั่งการแบบอัจฉริยะ ที่ควบคุมระบบเครื่องเสียง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย และข้อมูลรถยนต์ผ่านหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7.5 นิ้ว พร้อมด้วยพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นที่ให้การควบคุมระบบต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย และปุ่มควบคุมแบบ Interface Dial

เพิ่มความมั่นใจกับมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ด้วยโครงสร้างตัวถังแบบ G-Force Control (G-CON) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ ระบบถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual i-SRS) ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ (i-Side Airbag) ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags) และฟังก์ชั่นใหม่ล่าสุด เสียงเตือนคนภายนอกรถ ขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (AVAS) โดยระบบจะส่งเสียงเตือนผู้ที่อยู่ภายนอกรถสามารถรับรู้ว่ามีรถเคลื่อนตัวอยู่ในระยะใกล้ ซึ่งมีอยู่ในฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ใหม่ทุกรุ่น นอกจากนี้ ยังเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยระบบเตือนการชนด้านหน้าด้วยเรดาห์พร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Brake System: CMBS) และระบบไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติ (Active Cornering Light)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น