วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อีซูซุเปิดตัว All-new Isuzu D-Max เคาะราคาต่ำสุด 4.65 แสน

Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max


อีซูซุเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ "อีซูซุดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด" เริ่มวางจำหน่าย 14 ตุลาคมนี้

          เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา มร. ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์จำกัด ได้เปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ "อีซูซุดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด" (the All-new Isuzu D-Max) ที่เป็นการพลิกโฉมหน้าปิกอัพรุ่นใหม่ ด้วยการผสานเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์และเทคโนโลยียานล้ำสมัย ความเร็วประหนึ่งรถไฟหัวกระสุน กำหนดมาตรฐานใหม่ อีกทั้งคิดค้นและสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถปิกอัพทั่ว โลกอย่างแท้จริง

          โดย คนไทยจะได้สัมผัสรถรุ่นใหม่นี้ก่อนประเทศใดในโลก ที่ซึ่งมีการเปิดตัว The All New Isuzu D-MAX ในรอบสื่อมวลชนไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ (29 กันยายน) ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี และจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ 14 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป สนนราคาเริ่มต้น รุ่นสปาร์ค ตอนเดียว ราคา 465,000 บาท ส่วนรุ่นท็อป วี-ครอส 4 ประตู ราคา 994,000บาท


 คุณสมบัติพิเศษของอีซูซุดีแมคซ์ใหม่

รูปลักษณ์ภายนอก

          สำหรับอีซูซุ ดีแมคซ์ โฉมใหม่นั้น มาพร้อมกับรูปลักษณ์แนวสปอร์ต มีการดีไซน์ด้านหน้าให้เป็นแบบสามมิติ เพิ่มความชัดในการมองเห็น มีไฟหน้าขนาดใหญ่ และไฟท้ายแบบ LED ซึ่งเป็นครั้งแรกของวงการรถกระบะที่มีการนำเอาไฟแบบ LED มาใช้ และตัวถังแค็ปเปิดได้

ห้องโดยสาร

          เป็นการดีไซน์แบบ "DELUXE CAPSULE" ผสานกับ "UNIVERSAL DESIGN" ทำให้ห้องโดยสารมีขนาดใหญ่ สะดวกสบายเหมาะสมกับทุกสรีระ ส่วนเบาะนั่งคนขับสามารถปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง

แผงหน้าปัด

          ดีไซน์แผงหน้าปัดขนาดใหญ่แบบ Super Vision ที่แสดงข้อมูลการขับขี่ได้หลากหลายรูปแบบ แถมยังมีโหมดภาษาไทยให้เลือกด้วย ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว และปรับความสว่างได้อัตโนมัติ

ระบบเสียง

          ติดตั้งระบบเสียงเป็นแบบ "SURROUND SOUND" สูงสุดถึง 8 ลำโพง มีลำโพงคู่หน้าขนาดใหญ่พิเศษ FULL-SIZE 6x9 นิ้ว และลำโพง EXCITER ติดตั้งบนเพดาน ช่วยให้เสียงสมจริงทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชั่นปรับระดับเสียงโดยอัตโนมัติตามความเร็วของรถ
เครื่องยนต์

          สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลใหม่ 2500 Ddi VGS TURBO หรือเทอร์โบแปรผัน สามารถรีดกำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที ส่วนเครื่องยนต์  2500 Ddi TURBO รีดกำลังสูงสุดได้ 116 แรงม้าเท่าเดิม และหากเป็นเครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS TURBO จะให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที

เกียร์

          ปรับเกียร์ใหม่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม "REV-TRONIC" ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามใจ และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แบบ "SPORT-SHIFT" ช่วยให้เข้าเกียร์ง่ายจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไหลลื่น

ล้อและช่วงล่าง

          ขยายฐานและความกว้างของล้อให้ใหญ่ขึ้น กระจายน้ำหนักได้สมดุลขึ้น ด้วยการจัดตำแหน่งเครื่องยนต์ใหม่ให้อยู่เยื้องหลังล้อคู่หน้า พร้อมแชสซีส์ขนาดใหญ่ในรถระดับเดียวกัน ส่วนช่วงล่างได้รับการออกแบบมาให้เป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยส์สปริง และแหนบขนาดยาวพิเศษในช่วงล่างหลัง เพื่อให้ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น

ระบบความปลอดภัย

          มั่นใจได้ด้วยระบบความปลอดภัยแบบป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ ด้วยเบรก ABS พร้อม EBD และ BA นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ประกอบกับหม้อลมเบรกขนาดใหญ่พิเศษ 10.5 นิ้ว พร้อม TIED-BAR ดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 300 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์แบบลูกสูบคู่

          ที่สำคัญ อีซูซุดีแมคซ์โฉมใหม่ยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบป้องกันขณะเกิด อุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบเหล็กกล้า ที่ผลิตจากเหล็กหนาพิเศษ และตัวถังแบบซูเปอร์ สเปซแค็บ (SUPER SPACECAB) บานแค็บเปิดได้ (ตู้กับข้าว)

อื่น ๆ

          - แกนพวงมาลัย และแป้นเบรกแบบยุบตัวได้
          - เข็มขัดนิรภัยมีกลไกดึงกลับอัตโนมัติ
          - มีระบบล็อกประตูอัตโนมัติ ซึ่งจะทำงานทันที เมื่อรถวิ่งได้ความเร็วประมาณ 20-25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
          - ระบบป้องกันกระจกหนีบ (WINDOW JAM PROTECTION) ด้านคนขับ
          - เทคโนโลยี "ISUZU INSIGHT" ช่วยประมวลผลและวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่แบบเฉพาะตัว ทำให้การขับขี่ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น

พรม (พื้น) ของรถยนต์


คำว่า “พรม” ที่อยู่ในรถยนต์ ซึ่งทุกคนรู้จักกันดี แต่ในที่นี้มิได้หมายถึง พรมปูพื้นหรือพรมหน้าปัดแต่อย่างใด แต่ที่จะกล่าวถึงหรือพูดถึงก็คือ พรมพื้นรถยนต์ เชื่อเหลือเกินว่า น้อยคนนักที่จะนึกถึง ต่อให้รักรถขนาดไหนก็ตาม สิ่งต่างๆ ของรถที่พอทำความสะอาดได้ ก็ปฏิบัติกันไป แต่เคยมองหรือเคยคิดไหมว่า พรมพื้นรถยนต์ไม่เคยทำความสะอาดโดยการถอดซักเลย ไม่ว่าอายุของรถท่านจะ 1 ปี, 2 ปี,3 ปี หรือมากกว่า 10 ปี เคยถอดซักกันบ้างไหม ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพยิ่งขึ้น เช่น การสวมเครื่องนุ่งห่มมาทำงานไปเช้าเย็นกลับ เราทุกๆคนยังต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำการถอดซัก เมื่อเป็นดังนี้ คงไม่มีใครใส่เสื้อผ้าตัวเดิมนะครับ อีกตัวอย่างหนึ่ง ผ้ายางปูพื้นหรือพรมปูพื้น ท่านเจ้าของรถทุกท่าน ยังมีการนำออกมาซักมาล้างกัน จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก แต่สำหรับพรมปูพื้นรถยนต์เป็นเรื่องที่ยาก ค่าใช้จ่ายในการถอดซักก็สูงและใช้เวลาที่นานพร้อมกับความยุ่งยากก็มี

สำหรับเจ้าของรถแค่ดี ก็แค่ดูดฝุ่นหรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก พรมก็เหมือนพรมทั่วไป จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความสะอาด มิฉะนั้นจะเป็นที่สะสมของเชื้อโรค เนื่องจากสิ่งสกปรกนั่นเอง อย่าลืมนะครับว่าอากาศภายในห้องโดยสาร หมุนเวียนอยู่ในรถ ดังนั้น ผู้โดยสารจะได้รับสิ่งเหล่านั้นเต็มๆ ต่อให้มีเครื่องฟอกอากาศก็ตาม

การที่เจ้าของรถจะทำการถอดพรมซัก คงกระทำไม่ได้อย่างแน่นอน การปฏิบัติถือว่ายากมากๆต้องให้สถานบริการเฉพาะถึงจะทำได้ หรือ ให้ศูนย์บริการรถยนต์รุ่นนั้นๆดำเนินการให้ สำหรับรถยนต์ที่ยังอยู่ในระยะรับประกันด้วยละก็ไม่ควรให้ผู้อื่นทำอย่างเด็ดขาด เพราถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น จะหาผู้รับผิดชอบลำบาก การรับประกันของรถยนต์นั้นๆจะมีปัญหาแน่นอน แต่ถ้าให้ศูนย์บริการรถยนต์นั้นๆทำ ปัญหาคงไม่มีอย่างแน่นอนเช่นกัน

การที่กล่าวอย่างนี้ไม่ใช่ให้ซักพรมเป็นประจำนะครับ เพียงแต่ให้นึกถึงชิ้นส่วนที่เป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์บ้าง เชื่อเหลือเกินว่าในคู่มือการใช้รถยนต์เกือบทุกยี่ห้อก็มิได้ระบุว่าควรปฏิบัติเช่นไรกับพรมพื้นรถยนต์ การที่จะทำการถอดพรมพื้นรถยนต์ออกซักนั้น ขอให้พิจารณาถึงความสกปรกหรือความจำเป็นขณะนั้น เวลาในการซักจนถึงตากแห้งต้องมีอย่างน้อยก็เป็นวัน และก็ต้องเป็นวันที่แดดดีอีกด้วย

หากมีการถอดพรมพื้นรถยนต์ซักเจ้าของรถจะต้องนำทรัพย์สินมีค่าออกจากรถด้วย เพราะเป็นไปได้สูงที่รถยนต์ของท่านที่จะต้องค้างคืน (ไม่ใช่ศูนย์บริการควรระวัง) แต่ถ้าเจ้าของรถยอมรับสภาพของรถที่ไม่มีพรมปูพื้นได้ก็ OK อีกอย่างหนึ่งหากต้องทิ้งกุญแจรถไว้ด้วย แล้วละก็ ยิ่งหวาดเสียวใหญ่เลย ขอให้ระวังเรื่องพวกนี้ไว้บ้าง คงเคยได้ยินข่าวกันนะครับ ว่ารถยนต์หรูยี่ห้อหนึ่ง ไปเที่ยวสถานบันเทิง แล้วเด็กรับรถนำรถเขาไปที่อื่น ทำนองขโมยรถไปนั่นแหล่ะ ขนาดสถานบันเทิงมีชื่อเสียง และผู้นั้นก็ไปบ่อยนะครับ รู้สึกว่าจะอยู่แถวซอยทองหล่อกับอีกหลายข่าวที่บอกว่า จอดรถไว้หน้าบ้านแล้วหาย ก็อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าหัวขโมยมีกุญแจเหมือนรถยนต์ของเราก็เป็นไปได้ ใครจะรู้ ดังนั้น ควรพิจารณากันให้ดี แล้วจะมีความสุขครับ


Toyota Corolla Altis ปรับโฉมใหม่ เครื่องยนต์ Dual VVT-i

เครื่องยนต์ใหม่ Dual VVT-i


เครื่องยนต์ระบบวาล์วอัจฉริยะ Dual VVT-i (Variable Valve Timing-intelligent) ปรับจังหวะเปิด-ปิด วาล์วไอดีและไอเสียแบบแปรผัน สอดคล้องกับการทำงานของเครื่องยนต์ ช่วยควบคุมปริมาณไอดี ให้เหมาะสมกับ การจุดระเบิดในทุกจังหวะความเร็วรอบเครื่องยนต์ และการปรับจังหวะของวาล์วไอเสียช่วยให้การปล่อยไอเสียมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้สมบูรณ์ อัตราเร่งดี ประหยัดน้ำมัน และช่วยลดมลพิษ (ผ่านมาตรฐานไอเสีย ยูโร 4)
มีเครื่องยนต์ทั้งหมด 4 รุ่น คือ
  • เครื่องยนต์ 2000 ซีซี 3ZR-FE ACIS (Acoustic Control Induction System) แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC Dual VVT-I พร้อมระบบ ACIS ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด187 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที
  • เครื่องยนต์ 1800 ซีซี 2ZR-FE ACIS (Acoustic Control Induction System) แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC Dual VVT-I พร้อมระบบ ACIS ให้กำลังสูงสุด140 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด173 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที
  • เครื่องยนต์ 1600 ซีซี 1ZR-FEแบบ4 สูบแถวเรียง DOHC Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด154 นิวตัน-เมตร / 5,200 รอบต่อนาที
  • เครื่องยนต์ 1600 ซีซี CNG 3ZZ-FE แบบ4 สูบแถวเรียง DOHC VVT-i ให้กำลังสูงสุด109 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด145 นิวตัน-เมตร ที่4,400 รอบต่อนาที

ระบบเกียร์ใหม่

  • เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด อีกขั้นแห่งเทคโนโลยีที่ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ต่อเนื่อง ให้อัตราเร่งที่นุ่มนวล ราบรื่น เร้าใจทุกการเดินทาง พร้อมปรับระดับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ให้คงอยู่ในรอบต่ำ แม้ในขณะเร่งความเร็ว จึงประหยัดน้ำมันได้มากกว่า (เฉพาะรุ่น 2.0 และ 1.8 ทุกรุ่น)
  • เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์ ไหลลื่น ต่อเนื่อง ในทุกสภาพถนน และประหยัดน้ำมัน (เฉพาะรุ่น 1.6J M/T)

 ภายนอกตกแต่งใหม่

 

กันชนหน้า-กระจังหน้า และกันชนหลัง ดีไซน์เข้ม ไฟหน้าและไฟหลัง เฉียบคม สะดุดตา พร้อมล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้วลายใหม่แบบ 5 ก้าน สปอร์ตทุกมุมมอง (เฉพาะรุ่น 2.0 ทุกรุ่น และ 1.8G)

ภายใน

 แผงคอนโซลลายใหม่ วิทยุเพิ่มฟังก์ชั่น AUX ตอบสนองทุกความบันเทิงสมัยใหม่ (เฉพาะรุ่น 2.0V 2.0G 1.8ทุกรุ่น 1.6G และ 1.6E) พวงมาลัยสไตล์สปอร์ตพร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงและจอแสดงข้อมูลการขับขี่ เพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยขณะขับขี่ (เฉพาะรุ่น 2.0 ทุกรุ่น) มาตรวัดเรืองแสง ชัดเจน ตลอดการเดินทาง (เฉพาะรุ่น 2.0 ทุกรุ่น และ 1.8G) เบาะหนังชิ้นกลางเจาะรูแบบสปอร์ต เพิ่มความสบายขณะขับขี่ (เฉพาะรุ่น 2.0 ทุกรุ่น 1.8 ทุกรุ่น และ 1.6G)


ระบบความปลอดภัย

 

  • ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS)
  • ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC)
  • โครงสร้างนิรภัย GOA พร้อมคานนิรภัย
  • โครงสร้างเบาะนั่งแบบ WIL (Whiplash Injury Lessening) สำหรับเบาะนั่งด้านหน้า เพื่อลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ เมื่อเกิดการชนจากด้านหลัง
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าพร้อมระบบกลไกดึงกลับและผ่อนแรงดึงอัตโนมัติ ช่วยรั้งร่างกายผู้ขับขี่และผู้โดยสารให้แนบกับเบาะเมื่อเกิดการชนและลดการ บาดเจ็บจากการรัดดึง ของระบบเข็มขัดนิรภัย

 

 

 

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

เกร็ดความรู้เรื่อง ระบบไฟที่สงสัยกัน

เป็นปัญหาเหมือนกันนะครับว่า สงสัยจริงว่าใส่แบต 2 ลูกจะช่วยให้ไฟเพียงพอจริงหรือ (ใช้วิทช์,ลงเครื่องเสียงตึบๆ)...ลองอ่านแล้ววิเคราะห์ตามดูนะครับ....บท ความนี้ก็คัดลอกต่อกันมาเห็นว่ามีประโยชน์ (ต้องขออภัยเจ้าของบทความนะครับ แบบว่าcopy มา save เก็บไว้อ่านเป็น knowledge เอาไว้นานแล้ว...)
โดยปกติอุปกรณ์จำเป็นมาตรฐานที่ติดตั้งมากับรถยนต์นั้น มีอัตราการกินกระแสที่เป็นสัดส่วน

ดังต่อไปนี้ (เป็นอัตราเฉลี่ยในรถขนาดแตกต่างกัน ถ้ารถขนาดใหญ่ก็อาจกินกระแสมากกว่ารถ
ขนาดเล็ก)
- ไฟหน้าใหญ่ 15-20 A
- ไฟป้อนเข้าระบบจุดระเบิดเครื่องยนต์ 10 A
- ไฟสำหรับที่ปัดน้ำฝน 15-20 A
- ไฟดวงต่างๆ 1 A ต่อหลอด
- ไฟสำหรับระบบปรับอากาศ 25-35 A
ถ้าเราเป็นนักสังเกตบ้างเล็กน้อยเมื่อถอยรถออกจากโชว์รูม จะเห็นได้ว่าแบตเตอรี่ที่ติดตั้งมา
กับรถนั้น มีขนาดแค่พอเหมาะประมาณ 35-45 แอมแปร์ นั่นก็เพราะเขาคิดมาตรฐานเอาจากค่า
การใช้กระแสมาตรฐานจากไฟหน้า, ไฟระบบเครื่องยนต์ และไฟอื่นๆ โดยบางครั้งยังไม่นับรวมถึง
ไฟที่ใช้สำหรับระบบปรับอากาศด้วยซ้ำไป
เวลาใช้รถตอนกลางคืนที่ฝนตกหนักๆ แค่เปิดไฟหน้าและที่ปรับน้ำฝนพร้อมกับระบบปรับ
อากาศ จะสังเกตเห็นไฟหรี่ภายในรถมีอาการวูบวาบแล้ว บางท่านที่พอรู้เรื่องรู้ราวบ้างก็จัดการ
เปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 50-65 แอมแปร์ อาการดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
การเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้นอาจถูกต้องในบางเรื่องแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะจะต้องคำนึงถึง
‘ไดชาร์จ’ หรืออัลเตอเนเตอร์ด้วย ถ้าไดชาร์จมีขนาดแรงดันกระแสขาออกแค่เพียง 35 A
โดยทางทฤษฎีมันจะมีความเหมาะสมเพื่อใช้กับแบตเตอรี่ขนาด 35 A เท่านั้น ถ้าใช้แบตเตอรี่
เพิ่ม เป็นขนาด 50 A ไดชาร์จจะต้องทำอย่างหนักเพื่อพยายามเติมไฟให้เต็มแบตเตอรี่ 50 A โดยไม่มีการเรียกใช้ไฟจากระบบไฟรถยนต์เลยถ้ายังต้องเปิดไฟหน้า หรือเปิดเครื่อง
ปรับอากาศในระหว่างที่ไดชาร์จกำลังเติมไฟให้แบตเตอรี่ กระแสไฟที่แบตเตอรี่ก็จะไม่มี
วัน เต็มได้เลยถ้าคิดอัตราเฉลี่ยในการเติมไฟแบตเตอรี่ของไดชาร์จโดยไม่มีการโหลด จากระบบไฟรถยนต์ ไดชาร์จขนาด 35 A จะเติมไฟให้เต็มแบตเตอรี่ขนาด 50 A ได้ในเวลาเกือบๆ
2 ชั่วโมง
ซึ่งแน่นอนว่าขณะที่ทำการปั่นไดชาร์จ ด้วยเครื่องยนต์เพื่อเติมไฟให้เต็มแบตเตอรี่ระบบเครื่องยนต์ก็จะกินไฟ 10 A อยู่ตลอดเวลา ระยะเวลาจึงยิ่งนานเข้าไปอีก ยิ่งถ้ามีการเปิดระบบปรับอากาศด้วยก็ยิ่งนานขึ้นอีกในปัจจุบันเทคโนโลยีด้าน ระบบเสียงรถยนต์มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมากจากกำลังขยายเพียงแค่ไม่กี่ วัตต์ในสมัยก่อน กลายมาเป็นกำลังขยายในระดับพัน-สองพันวัตต์ในปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ผู้คนทั้งหลายต่างมองข้ามกันไปก็คงเป็นเรื่องของ ‘กำลังไฟ’ ที่จะป้อนจ่ายให้กับอุปกรณ์ระบบเสียงหลายท่านไม่ทราบว่าจะต้องคำนวณการกิน กระแสของระบบได้อย่างไร

การเพิ่มขนาดของแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช้ทางแก้ปัญหา การเรียกกำลังไฟจากรถยนต์ที่ถูกต้องโดยปกติเราต้องใช้ไดชาร์จที่มีขนาดกระแสขาออกได้มากกว่าความต้องการของ
กระแสรวมประมาณ 20% และ 40-50% ถ้าค่ากระแสขาออกนั้นบอกมาในหน่วย Cold152
1. สายไฟแรงดันที่ขั้วบวก หรือขั้วลบที่ลงกราวน์ อาจมีขนาดเล็กเกินไปเมื่อ
เทียบกับจำนวนของกระแสที่ไหลผ่าน
2. เกิดอิมพีแดนซ์อย่างรุนแรงในจุดต่อยึดบางจุดของสายไฟแรงดัน/หรือขั้วกราวน์ อาทิ ขั้วแบตเตอรี่เสื่อม, มีการต่อสายไฟแรงดันอย่างหลวมๆ ไม่บัดกรี, ขันหัว
ขั้วแบตเตอรี่ไม่แน่น, ยึดหัวขั้วไฟกราวน์ไม่แน่น, ไม่ขูดสีตัวถังให้สะอาด หรือกราวน์ไม่
สมบูรณ์
3. ขนาดของแบตเตอรี่ไม่เพียงพอที่จะจ่ายกระแสไฟให้กับระบบเสียง หรือมีความจะของกระแสที่แบตเตอรี่น้อยเกินไป
4. แบตเตอรี่มีการคายประจุที่เร็วมาก (ผิดปกติ) หรือไม่ก็แผ่นแซลในแบตเตอรี่เกิดความเสียหาย (เปลี่ยนใหม่)แล้วเช็คด้วย VOM อีกครั้ง
5. แบตเตอรี่มีขนาดพอเพียงกับการจ่ายกระแส แต่ว่าตัว ‘ไดชาร์จ’ ให้ขนาดกระแสขาออกน้อยเกินไป หรือไม่สามารถจ่ายกระแสได้มาพอต่อการประจุแบตเตอรี่ให้เต็มได้ กรณีแบบนี้ค่าแรงดันที่วัดได้จากแบตเตอรี่จะต่ำกว่า 12 โวลท์ เมื่อทำการตรวจวัดในขณะดับเครื่องยนต์

จึงอาจต้องระวังเรื่องนี้ในการสับเปลี่ยนไดชาร์จ นอกจากนั้นยังพบว่าไดชาร์จและ
การประจุกำลังไฟของรถยนต์มีความแตกต่างกันในรถแต่ละคัน บางระบบสามารถจ่าย
กระแสออกมาได้เต็มที่เมื่อเครื่องยนต์ทำงานขณะที่บางระบบจะจ่ายกระแสก็ต่อเมื่อ
เครื่อง ยนต์มีรอบปั่นสูงๆ ซึ่งความแตกต่างนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่พึงระวังโดยหลักการแล้วไดชาร์จถูกคิด ค้นและสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ
1. เพื่อผลิตและแจกจ่ายกระแสไฟให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ เมื่อเครื่องยนต์
เริ่มทำงาน
2. เพื่อจ่ายกระแสไฟไปกักเก็บเอาไว้ที่แบตเตอรี่ เพื่อนำก

Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้า 100% เข้าไทยแล้ว 2.85 ล้าน

Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้า 100% เข้าไทยแล้ว 2.85 ล้าน

พอพูดถึงรถไฟฟ้า เราจะเห็นได้ว่าหลายๆคนเริ่มไม่ตื่นเต้นกันเพราะเคยได้ยินมามาก แต่ที่จริงแล้วรถไฟฟ้าที่ออกข่าวมาส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงรถต้นแบบและติดปัญหาในการใช้งานจริง หรือการรับรองในการใช้งานต่อนานาชาติ Nissan Leaf คือรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ผลิตเป็นจำนวนมาก และสามารถใช้งานได้ทั่วไป และคนธรรมดาสามารถเป็นเจ้าของได้คันแรกของโลก มีกลุ่มเป้าหมายคือผู้หญิงและคนอายุน้อย ถือเป็นนวตกรรมระดับโลก ผ่านการเมืองมาอย่างโชกโชน มีความยิ่งใหญ่ในวงการรถยนต์จนทำให้บริษัท Nissan คือบริษัทรถยนต์หนึ่งเดียวที่ติดอันดับบริษัท TOP innovation ระดับโลกร่วมกับ Apple, facebook twitter และ Google ภายในทันสมัย ภายในทันสมัย รถคันนี้ไม่มีไอเสียออกมาเลย ไม่มีความสั่นสะเทือน ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง Nissan บอกว่ามันให้อารมณ์ราบเรียบเหมือนกับการ “ส่งเอกสารด้วยนกพิราบ” แต่ยังคงขับสนุกตามสไตล์นิสสัน ความยิ่งใหญ่ของการผลักดันรถไฟฟ้า 100% Carlos Ghosn CEO และ Chairman Nissan Carlos Ghosn CEO และ Chairman Nissan

การใช้พลังงานฟอสซิล และน้ำมัน คือผลประโยชน์และการเมืองระดับโลกที่ทำให้รถไฟฟ้าไม่พัฒนา และทำให้รัฐบาลในหลายประเทศยังลังเลที่จะสนับสนุนรถไฟฟ้าอย่างจริงจัง ซึ่งก็ทำให้ไม่เกิด Station การเติมไฟฟ้าเร่งด่วนสักที แต่นิสสันได้มุ่งมั่นและฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆซึ่งต้องนับถือจิตใจที่เข้มแข็งของเหล่าผู้บริหาร Nissan Leaf สามารถที่จะเสียบปลั๊กไฟในบ้านได้เลยโดยไม่ต้องการสถานีเติมไฟเร่งด่วนแต่อย่างใด Spec และการใช้งานของ Nissan Leaf เปิดจมูกด้านหน้า Leaf ชาร์ทไฟได้

เปิดจมูกด้านหน้า Leaf ชาร์ทไฟได้ - รถยนต์คันนี้สามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ 145 km/h ความเร็วบนทางด่วน 100-130 ซึ่งเพียงพอต่อการเดินทาง - มีแรงม้าประมาณ 80 แรงม้า - มีแรงบิด 207 ปอนด์ฟุต - มีระบบ ABS EDB ถุงลม - ใช้เวลาชาร์จ 8 ชั่วโมงจากระบบไฟบ้านปกติ - สามารถ Quick charge โดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง ได้ไฟ 80% ของแบ็ตเตอรี่ (พักรถที่ปั๊มเวลาเดินทางได้) - ไฟเต็ม 100% สามารถเดินทางได้ 200km - มีระบบ regenerate เบรค สร้างไฟฟ้ากลับคืน เหมือนรถไฮบิริจทั่วไป - ใช้แบ็ตเตอรี่ลิเทียมไอออน - ดีไซน์ลักษณะเหมือนรถอนาคต น่ารักทันสมัย - มีมาตรวัดไฟฟ้าแทนน้ำมัน - การสตาร์ทแทนที่จะเป็นเสียงเครื่องยนต์ เปลี่ยนเป็นเสียงเพลงน่ารักๆสไตล์ญี่ปุ่นแทน - หัวเกียร์มีรูปร่างคล้ายเมาส์ มีโหมด P N D และ Eco - ปุ่มสตาร์ท keyless go ไม่ต้องใช้กุญแจตามสมัยนิยม - ความรู้สึกในการขับเร่งได้แรงเหมือนรถ 1.5 - ไม่มีท่อไอเสีย สำหรับผู้ที่นำเข้าตอนนี้ลองไปเซิร์ทหาดูกันได้ ขณะที่เขียนนี้มีอยู่ 6 คัน 6 สี มีการรับประกันแบ็ตเตอรี่ยาวนานจนไม่ต้องกังวล สำหรับราคา 2.85 ล้านนั้นถือว่าค่อนข้างสูงเนื่องจากยังเป็นสินค้า innovation ที่มีผู้ใช้น้อยและมีอัตราภาษีนำเข้า แต่ถ้าเทียบกับรถราคาเท่าๆกันคันอื่น (เช่น Camry 3.5 หรือ Mini หรือ BMW series3) ก็ยังถือว่าน่าใช้ และเป็นกิมมิคที่ผู้ใช้จะได้พูดคุยกับคนอื่นๆได้เป็นอย่างดีทีเดียว แถมเนื่องจากรถไฟฟ้าในไทยยังไม่เป็นที่รู้จักมาก ดังนั้นคุณเองอาจไปขอชาร์จที่โรงแรมที่คุณเดินทางไปพักได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วยซ้ำ