สิ้นสุดการรอคอยอันเนิ่นนานของนักเลงรถปิกอัพเมืองไทยและเป็นการเริ่มต้นศึกใหญ่ในตลาดรถเชิงพาณิชย์อย่างเต็มตัว เมื่อโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทยประกาศเปิดตัวโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโวออกทำตลาดอย่างเป็นทางการ
ไฮลักซ์ รีโวเป็นรถกระบะรุ่นที่ 4 ที่เปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทยในรอบไม่ถึง 2 ปี ถัดจากนิสสัน นาวาร่า มิตซูบิชิ ไทรทันและฟอร์ด เรนเจอร์ที่เพิ่งเผยโฉมแบบไม่เปิดราคาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าเซกเมนท์รถกระบะเมืองไทยยังคงมีความสำคัญและเป็นตลาดใหญ่ไม่แพ้ชาติใดในโลก
ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทีมงาน Autospinn.com จะหยิบข้อมูลจุดเด่นและจุดด้อยของรถใหม่ที่เปิดตัวไล่เลี่ยกันมาเปรียบเทียบ เชิญชมกันได้เลย
การออกแบบและอุปกรณ์
โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว
เปิดตัวได้ยิ่งใหญ่สมกับการรอคอยนานนับปี โตโยต้าโวลั่นว่าไฮลักซ์ รีโว ซึ่งเป็นรถกระบะไฮลักซ์เจนเนอเรชั่นที่ 8 เป็นการ “ปฏิวัติทุกมิติ แห่งกระบะอนาคต” การออกแบบภายนอกเน้น “ความแกร่ง” สร้างประสบการณ์การขับขี่เฉกเช่นรถเอสยูวีระดับหรู กระจกมองข้างโครเมียมพร้อมไฟเลี้ยว ล้ออัลลอย 17 นิ้ว เดย์ไลท์ LED ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีเปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟท้ายพร้อมไฟตัดหมอก สีตัวถังมีให้เลือกทั้งสิ้น 7 สี โดยเป็นสีใหม่ด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน Nebula Blue สีแดง Crimson Spark Red และสีขาวมุก White Pearl Crystal
รูปลักษณ์ภายนอกดูทันสมัยยิ่งขึ้นชัดเจนโดยเฉพาะด้านหน้า ส่วนบั้นท้ายยังคงสไตล์คล้ายรุ่นเดิม หากมองหน้าตาในภาพรวมอาจไม่โดนใจบางคน แต่ก็มีหลายคนที่มองว่ารีโวมีความโดดเด่นและน่าใช้กว่าวีโก้ (ซึ่งทำตลาดมานานมาก) เราปล่อยให้ท่านผู้อ่านพิจารณากันตามอัธยาศัย
ภายในห้องโดยสารเน้นย้ำแนวคิดการถ่ายทอดรถเอสยูวีหรูไว้อย่างชัดเจน ด้วยโครงสร้างและดีไซน์ที่ออกไปทางรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ ครบครันด้วยอ็อปชั่น ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติหรือครูสคอนโทรล หน้าจอแสดงผลข้อมูล 4.2 นิ้ว เนวิเกเตอร์แสดงผลผ่านจอสัมผัส 7 นิ้ว ปุ่มสตาร์ทและเข้าออกห้องโดยสารโดยไม่ต้องใช้กุญแจ กล่องเก็บของรักษาความเย็น ช่องปรับอากาศสำหรับเบาะหลัง
ความปลอดภัยถือว่าเหนือชั้นเกินความคาดหมาย ทั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่เพียบพร้อมอย่างระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบควบคุมการออกตัวทั้งทางขึ้นและทางลง กล้องมองหลังและที่สำคัญคือถุงลมนิรภัยที่มีมาให้ถึง 7 ลูกเลยทีเดียว
รุ่นดับเบิ้ลแค็บ และรุ่นมาตรฐาน พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าเป็นเจ้าของได้ตั้งแต่วันนี้ สำหรับรุ่นสมาร์ทแค็บ สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ตั้งแต่วันนี้และจะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป
นิสสัน นาวาร่า
นาวาร่าถือเป็นรถกระบะที่ให้บรรยากาศของการเป็นรถยนต์นั่งและรถที่รองรับการใช้งานในเมืองมากกว่าใครเพื่อน โดดเด่นด้วยไฟเดย์ไลท์แอลอีดีที่กรอบโคมไฟหน้า การออกแบบที่เน้นเส้นสายไล่ไปตามตัวถังมากกว่ารถปิกอัพทั่วไป ตัวถังของนาวาร่ามีขนาดกว้าง 1,850 มม. ยาว 5,255 มม. สูง 1,820 มม. มีระยะฐานล้อยาว 3,150 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 220 มม.
ความสะดวกสบายในห้องโดยสารตอนหน้าของนาวาร่าให้อารมณ์ที่ใกล้เคียงรถเก๋งมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมาะสำหรับคนที่มองหารถปิกอัพที่มีสไตล์แบบรถยนต์นั่งและ “ขับหล่อ” นาวาร่ายังมีช่องจ่ายไฟสามจุด เบาะหลังของรุ่นดับเบิลแค็บนั่งสบายเนื่องจากปรับเอนได้มากกว่าเดิม พร้อมพรั่งด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมกล้องมองหลังและระบบปรับอากาศที่ตอนหลังเรียกว่าออกแบบมาตอบสนองกลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น
ล่าสุด นิสสันยังเพิ่งเปิดตัวรุ่นซิงเกิลแค็บที่มาพร้อมกล้องมองหลังและที่เหยียบขึ้นกระบะด้านข้าง ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น (ยกเว้นรุ่นแชสซีส์แค็บ) เพื่อเพิ่มความมั่นใจและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่มากขึ้นในขณะถอยจอดสำหรับการบรรทุกของหนัก
มิตซูบิชิ ไทรทัน
เสียงวิจารณ์เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของไทรทันใหม่เริ่มลดน้อยลงไปพร้อมกับตัวเลขยอดขายที่ไม่ขี้เหร่ หากมองกันแบบไร้อคติแล้ว ไทรทันใหม่ถือเป็นการผสมผสานสไตล์รถกระบะเข้ากับความโฉบเฉี่ยวแบบรถยนต์นั่งได้อย่างค่อนข้างลงตัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราขอปล่อยให้เป็นวิจารณญาณของท่านผู้อ่านดีกว่า
มิติตัวถังของไทรทันมีขนาดใหญ่ขึ้นและเน้นเหลี่ยมคมที่ชัดเจนขึ้นกว่ารุ่นเดิม เห็นได้ว่าทีมนักออกแบบต้องการเน้นภาพลักษณ์แข็งแกร่ง บึกบึน ให้ความรู้สึกในด้านการใช้งานเรื่องการขนส่งได้ดีพอสมควร ขณะเดียวกันยังมีกลิ่นอายแบบรถยนต์นั่งตามเทรนด์ของรถกระบะในปัจจุบัน โดยเฉพาะโคมไฟหน้าที่ฉีกกว้างและมาพร้อมไฟเดย์ไลท์ดูหรูหราอลังการ
นักขับรถทดสอบของ Autospinn ได้สัมผัสรุ่นไทรทัน พลัส ตัวยกสูง การขึ้นลงรถทำได้โดยสะดวกด้วยกาบบันไดข้างและมือจับโหนตัว ในรายละเอียดปลีกย่อยที่ติดตั้งเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นระบบสมาร์ท เอนทรีที่มาพร้อมปุ่มเปิด-ปิดประตูพร้อมกุญแจอัจฉริยะ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบพับอัตโนมัติขณะล็อกรถทำให้รถคันนี้ดูหรูหราขึ้นมาเกินกว่าที่จะนำไปขนของจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน ทางมิตซูบิชิยังชูจุดขายในเรื่องความเงียบในค็อกพิท มองในภาพรวมไม่ถือว่าโดดเด่น แต่ก็รองรับการใช้งานได้ดี
นอกจากนี้ยังมีรุ่นไทรทัน ซิงเกิล แค็บ 3 รุ่นที่เพิ่งขายจริงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เน้นรองรับการบรรทุกได้ลงตัวมากขึ้น เสริมความแข็งแกร่งเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารด้วยโครงสร้างนิรภัยเหล็กกล้า Super Frame รวมไปถึงเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุก เพื่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มที่
ฟอร์ด เรนเจอร์
ถือเป็นการปรับไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ หน้าตาภายนอกมีความสดใหม่ยิ่งขึ้นโดยเฉพาะฝากระโปรงมีเส้นสายที่ดุดันกว่าเดิม เข้ากับกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ขณะที่ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่เสริมให้ตัวรถดูแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ฟอร์ดเผยว่าเรนเจอร์ใหม่สามารถขับขี่ลุยน้ำได้ที่ความลึกถึง 800 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าลึกที่สุดในรถประเภทนี้ ส่วนพื้นรถสูง 230 มิลลิเมตร ออกแบบมาเพื่อรับมือกับเส้นทางวิบากได้อย่างคล่องตัว ด้วยมุมตัดที่ 28 องศาและมุมจากที่ 25 องศา ทำให้ผู้ขับขี่ฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่สามารถขับขี่ขึ้นลงทางลาดชันได้อย่างมั่นใจ
ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 2 ระบบเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารภายในตัวรถรุ่นล่าสุด ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมระบบต่างๆ ของตัวรถได้อย่างชาญฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยระบบการรับคำสั่งผ่านเสียง โดยผู้ขับขี่สามารถพูดคำสั่งภาษาอังกฤษเช่น “Temperature 20 degrees” “play AC/DC” หรือ “I’m hungry” เพื่อควบคุมระบบปรับอากาศ ระบบความบันเทิง หรือระบบนำทางของรถได้ทันที ส่วนจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และคำสั่งแบบแยกสี ช่วยให้การเลือกใช้งานเมนูต่างๆ ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งยังติดตั้งช่องชาร์จไฟแบบ 240 โวลต์ ซึ่งสามารถใช้ชาร์จไฟคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคได้
นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะเต็มรูปแบบ ที่จะช่วยให้ทุกการขับขี่ของคุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ทั้งระบบรักษาช่องทางขับขี่ (Lane Keeping Aid) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า (adaptive cruise control) ระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (Driver Impairment Monitor) และเซนเซอร์ช่วยจอดหน้า-หลัง (Front and Rear Parking Sensors)
เครื่องยนต์โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว
เครื่องยนต์ตระกูล GD บล็อกใหม่เอี่ยมได้รับการพัฒนาด้วยแนวคิด “Efficient Boost” เพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ ลดการสูญเสียความร้อนและแรงเสียดทานของเครื่องยนต์ เริ่มจากรุ่นท็อปไลน์ที่ติดตั้งในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเท่านั้น รหัส 1GD-FTV (High) เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว 2.8 ลิตร พร้อมวีเอ็น เทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้พละกำลังสูงสุด 177 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที พร้อมให้แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตรที่ 1,400-2,600 รอบต่อนาที
ขณะที่รุ่นดีเซลรองลงมาใช้มรหัส 1GD-FTV รีดกำลังสูงสุด 170 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 343 นิวตันเมตรที่ 1,200-3,400 รอบต่อนาที สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร มาพร้อมรหัสเครื่องยนต์ 2GD-FTV ที่มีพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตันเมตรที่ 1,400-2,800 รอบต่อนาที มาพร้อมระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Stop & Start System)
ลูกค้ายังสามารถเลือกรุ่นเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเดิมที่ได้รับการพัฒนาด้วยการติดตั้งระบบดูอัล วีวีที-ไอให้กับเครื่องรหัส 2TR-FE ให้กำลังสูงสุด 166 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาทีและแรงบิดสูงสุด 245 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที
ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์ธรรมดา iMT 6 สปีดและระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ทำงานร่วมกับระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบแอคทีฟและระบบล็อกเฟืองท้าย
เครื่องยนต์นิสสัน นาวาร่า
ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง DDTi บล็อก 4 สูบ ดีเซลเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 2.5 ลิตร ซึ่งเป็นการพัฒนาบนพื้นฐานของเครื่องยนต์รุ่นเดิม มีพละกำลังสองระดับให้เลือกใช้คือ 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตรและ 163 แรงม้า แรงบิด 402 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด
เครื่องยนต์ของนาวาร่า เอ็นพี300 รุ่นใหม่ได้รับการปรับเปลี่ยนระบบเทอร์โบชาร์จ ใช้มอเตอร์ควบคุมเทอร์โบแปรผัน พร้อมปรับลดกำลังส่วนอัดเหลือ 15:1 ดูแล้วรุ่นล่าง 163 แรงม้าก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป แต่ทางนิสสันเพิ่มทางเลือกและมูลค่าทางการตลาดด้วยการนำเสนอรุ่นสูงสุด 190 แรงม้าที่มีพลังเหลือเฟือ
นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ ระบบหัวฉีดมัลติพอยท์ ให้กำลังแรงสูงสุด 169 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 241 นิวตันเมตร การขับขี่ของนาวาร่าถูกเซ็ทอัพให้นุ่มนวลยิ่งขึ้นตามบุคลิกของตัวรถที่ขยับเข้าใกล้รถยนต์นั่ง โดยเฉพาะรุ่นดับเบิลแค็บ 4 ประตูที่นิ่มนวลที่สุด ส่วนการควบคุมพวงมาลัยอยู่ในระดับมาตรฐานถ้าไม่พุ่งทะยานด้วยความเร็วจัดเกินไป
เครื่องยนต์มิตซูบิชิ ไทรทัน
มิตซูบิชิ ไทรทันใหม่เป็นรถกระบะรุ่นแรกที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลพลังงานสะอาด เทคโนโลยีไมเวค วีจี เทอร์โบ (MIVEC VG Turbo) ความจุ 2.4 ลิตร พละกำลัง 181 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตรโดยมีความประหยัดมากกว่าเดิม 20 เปอร์เซ็นต์
ลูกค้ายังสามารถเลือกใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร 128 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตันเมตรและเครื่องยนต์เบนซินรหัส 4G64 ความจุ 2.4 ลิตรที่มีพลัง 128 แรงม้า แรงบิด 194 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีดและ 6 สปีด รวมถึงเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ง่ายต่อการขับขี่โดยสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ง่ายด้วยสวิตซ์หมุนแบบไฟฟ้า รวมไปถึงรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อแบบยกสูงและรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ
นักทดสอบของ Autospinn เผยว่าการตอบสนองของเครื่องยนต์รุ่น 2.4 ลิตรและระบบส่งกำลังของรุ่นไทรทัน พลัสถือว่ามีความลงตัวและรองรับการใช้งานทั่วไปได้ดี การเรียกกำลังทำได้อย่างง่ายดายทั้งจากจังหวะออกตัวและจังหวะการเร่งแซงที่ความเร็วต่ำถึงปานกลาง อย่างไรก็ตาม การขับขี่ที่ความเร็วปานกลางขึ้นไปและเปลี่ยนความเร็วกะทันหันไม่ว่าจะเร็วขึ้นหรือช้าลง ดูเหมือนเครื่องยนต์จะต้องใช้เวลาในการปรับอยู่ชั่วเสี้ยววินาที ทำให้การขับขี่ยังไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร
เครื่องยนต์ฟอร์ด เรนเจอร์
ขุมพลังของฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่เริ่มจากขนาด 2.2 ลิตร ดีเซล ดูราทอร์ค พละกำลังสองระดับคือ 125 แรงม้าและ 150 แรงม้า (รุ่นวีจี เทอร์โบ) ส่วนแรงบิดมีทั้งระดับ 330 นิวตันเมตรและ 385 นิวตันเมตรซึ่งกินน้ำมันลดลง 20%
ขณะที่เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร แบบ 5 สูบรุ่นล่าสุดมีการติดตั้งระบบหมุนเวียนไอเสียแบบใหม่เพื่อความประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์ พร้อมมอบพละกำลังสูงสุด 200 แรงม้าและแรงบิด 470 นิวตันเมตร สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะและแรงบิดสูงสุดในการลากจูง นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์เบนซิน ดูราเทค ขนาด 2.5 ลิตร ที่มอบพละกำลังสูงสุด 122 กิโลวัตต์ และแรงบิด 225 นิวตันเมตร
ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่สามารถลากจูงน้ำหนักได้สูงสุด 3,500 กิโลกรัม และรับน้ำหนักบรรทุกสูงถึง 1,175 กิโลกรัม ระบบเกียร์มีทั้งแบบอัตโนมัติและธรรมดาแบบ 6 สปีด ฟอร์ดยืนยันว่าเครื่องยนต์ทั้ง 4 รุ่นเปี่ยมด้วยสมรรถนะและความคุ้มค่าในทุกสภาพการขับขี่ และยังตอกย้ำเอกลักษณ์ความขับสนุกในสไตล์ฟอร์ดอีกด้วย
เพื่อการประหยัดน้ำมันสูงสุด ฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่ มีการติดตั้งระบบสตาร์ทและดับเครื่องอัตโนมัติ (Automatic Start/Stop) ซึ่งจะดับเครื่องขณะที่รถหยุดนิ่งอยู่กับที่ เช่นขณะที่รอสัญญาณไฟเขียว ช่วยประหยัดน้ำมันสูงถึง 3.5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอัตราทดเฟืองท้ายได้รับการปรับแต่งยาวขึ้น ช่วยให้ประหยัด
น้ำมันดียิ่งขึ้นเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง
สรุป
มิตซูบิชิ ไทรทัน เปิดราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 4.75 แสนบาทไปจนถึง 1 ล้านบาทเศษซึ่งมีครบครันทั้งซิงเกิล แค็บ เมกะแค็บและดับเบิลแค็บ ด้านนิสสัน นาวาร่าเคาะค่าตัวที่ 5.16 แสนบาทถึง 9.96 แสนบาทที่มาพร้อมหน้าทุกรุ่นย่อยเช่นกัน
ขณะที่ยักษ์ใหญ่เบอร์หนึ่งอย่างโตโยต้าเปิดราคาไฮลักซ์ รีโวเริ่มต้นที่ 5.69 แสนบาทไปจนถึงตัวท็อปไลน์ 1.139 ล้านบาทซึ่งถือว่าแพงที่สุดในเวลานี้ ไฮลักซ์ รีโวมีรุ่นย่อยให้เลือกมากมายกันถึง 33 รุ่นใครสนใจชมตัวจริงเชิญได้ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนาระหว่างวันที่ 22 – 24 พฤษภาคมนี้
คอรถกระบะอเมริกันอาจต้องรอการประกาศราคาของเรนเจอร์ใหม่กันก่อน แต่ถ้ารอไม่ไหวก็สามารถหันไปเลือก “เชฟโรเลต โคโลราโด ไฮคันทรี่” รถกระบะพรีเมียมที่เพิ่งเผยโฉมในงานบางกอก มอเตอร์โชว์กันได้ซึ่งเคาะราคาจำหน่ายที่ 1.029 ล้านบาท
ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาทองของคนที่กำลังมองหารถกระบะรุ่นใหม่อย่างแท้จริง เพราะมีทางเลือกมากมาย การแข่งขันที่ดุเดือดทำให้ลูกค้ามีทางเลือกที่หลากหลายยิ่งขึ้น อุปกรณ์อำนวยความสะดวกใส่มาให้กันแบบเต็มพิกัด จึงสามารถเลือกสรรได้ตามต้องการและกำลังทรัพย์ในกระเป๋า
ลูกค้าที่ต้องการใช้งานรถกระบะในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือลูกค้าที่มองหารถกระบะระดับบนซึ่งควรพิจารณาอุปกรณ์และรูปลักษณ์เป็นหลักว่าตอบสนองรสนิยมและความต้องการใช้งานได้มากน้อยเพียงใด ขณะที่ลูกค้าอีกกลุ่มจะมองหารถกระบะที่รองรับการใช้งานหนัก ซึ่งควรให้ความสำคัญที่ราคาจำหน่าย โปรโมชั่นส่งเสริมการขายและการบริการที่จะมอบความคุ้มค่าและช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นได้
ควรสัมผัสตัวรถคันจริงด้วยตนเองเพื่อทดลองขับและพิจารณาอ็อปชั่นอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์ต่างๆอย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจ